ตามกาล Time Kaan ร้านอาหารไทยโบราณ Fine Dining ย่านสุขุมวิท

ตามกาล Time Kaan ร้านอาหารไทยโบราณ Fine Dining ย่านสุขุมวิท
Maysylvie
12 ธันวาคม 2565 ( 16:00 )
3.4K

       พานักชิมมาเปิดประสบการณ์ ร้านอาหาร Fine Dining ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่แตกต่างไม่เหมือนใครกับร้าน ตามกาล Time Kaan ร้านอาหารไทย ยุคสมัยก่อน ที่หยิบเอาเรื่องราวและอาหารของคนยุคก่อนเราตั้งแต่ 100 - 1200 ปี มารังสรรค์เป็นเมนูอาหารที่เสิร์ฟมาทั้งหมด 14 คอร์ส พร้อมหยิบเอาประวัติศาสตร์ของแต่ละเมนูมาบอกต่อได้อย่างครบถ้วน เรียกว่าได้ทั้งลิ้มรสเมนูอาหารอร่อย และได้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ไปพร้อมกัน เป็นประสบการณ์ดีๆ ที่สายกินไม่ควรพลาด

 

 

ตามกาล ร้านอาหารไทย Fine Dining

 

 

       ตามกาล Time Kaan เป็นร้านอาหาร Fine Dining ในรูปแบบ 14 Full Course ตั้งอยู่ที่ กินรี เวนิว สุขุมวิทซอย 8 ก่อกำเนิดจากการรวมตัวของเชฟรุ่นใหม่ที่หลงใหลในเรื่องราวของประวัติศาสตร์อาหารไทย ทำการรีเสิร์ช ค้นคว้าข้อมูล หนังสือประวัติศาสตร์ และงานวิจัยต่างๆ จนออกมาเป็นเมนูอาหาร 14 คอร์ส ที่แต่ละเมนูมีอายุไล่เรียงตั้งแต่ 100 - 1200 ปี โดยที่ร้านจะไม่ใช้คำว่า อาหารไทยแท้ แต่เป็นอาหารย้อนยุค ณ เวลานั้นที่คนโบราณกินกัน ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ใหม่ สำหรับคนยุคใหม่จริงๆ

 

 

 

     ขอเริ่มเดินทางกับเมนูอาหารทั้ง 14 คอร์สกันเลย โดยเริ่มที่เมนูแรก จะไม่มีในลิสต์ แต่เป็น complimentary ที่ทางเชฟทำให้พิเศษ เป็นคุกกี้กะทิงาขาวที่ไม่มีส่วนผสมของแป้ง ปั๊มลายออกมาเป็นรูปทรงนาฬิกา เข้ากับคอนเซ็ปต์ของร้าน “ตามกาล” ได้ดีทีเดียว จากนั้นก็จะเริ่มที่คอร์สแรกกับ เปาหลิงโก๊ะ เป็นการนำข้าวเหนียวหมักด้วยยีสต์เป็นเวลา 2 วัน รสชาติสดชื่น คล้ายข้าวหมาก แต่ไม่มีแอลกอฮอล์ และจะได้ความเผ็ดปลายจากน้ำพริกจินดาแดงอีกด้วย เป็นคอร์สแรกที่เปิดต่อมรับรสได้ดีทีเดียว

 

เปาหลิงโก๊ะ (อายุ 724 ปี)

 

      คอร์สที่ 2 เครื่องกรอบเข้าวัง (หมี่น้ำบ้านราชทูต) เป็นเมนูที่มีมามากกว่า 100 ปี เป็นเส้นหมี่ทอดกรอบ ท็อปด้วยกรรเชียงปูชิ้นใหญ่ และเนื้อปูฝอยทอดกรอบ ท็อปด้วยเจลดอกดาหลา กุยช่ายขยำเกลือ ราดด้วยซอสมะขามทำจากน้ำปลา จังหวัดปัตตานี และน้ำตาลแว่นจากตรัง

 

เครื่องกรอบเข้าวัง (อายุ 154 ปี)

 

      คอร์สที่ 3 มัสยาส้มใบ (ลาบปลากะพงแดง) เป็นเมนูที่ทำจากเนื้อปลากระพงแดงสับ โรยด้วยข้าวคั่ว พริก มะแขว่น ได้ความเปรี้ยวจากน้ำมะม่วงเบา และใบชะมวงที่รองด้านล่าง ทั้งยังเสิร์ฟพร้อม Glass Cracker ที่ทำจากมะม่วงเบาและมันสำปะหลัง เวลาทานให้รวบทานในคำเดียว รสชาติจัดจ้าน และหอมกลิ่นข้าวคั่วสุดๆ

 

 

มัสยาส้มใบ (อายุ 724 ปี)

 

       คอร์สที่ 4 ร้อนรสโอชเอม (ข้าวคลุกน้ำพริกพริกไทยอ่อน ไก่ย่าง) เนื่องจากคนสมัยก่อน ยังไม่มีพริกในเมนูอาหาร จึงปรุงรสชาติเผ็ดด้วยพริกไทย ทางเชฟจึงทำเป็นข้าวคลุกน้ำพริกพริกไทยอ่อน เสริมความเค็มจากถั่วเน่าเข้าไป มาพร้อมกับไก่ย่างตะนาวศรี จากจังหวัดราชบุรี ซึ่งจะมีรสสัมผัสเหนียวนุ่มเป็นพิเศษ นำไปย่างเกลืออ่อนๆ เวลาทานคู่กับข้าวคลุกน้ำพริกพริกไทยอ่อน จะได้ทั้งความหอม เผ็ด เค็ม เข้ากันสุดๆ

 

ร้อนรสโอชเอม (อายุ 700 ปี)

 

     คอร์สที่ 5 มัจฉาซ่อนรส (งบห่อหมกปลาบู่) ว่ากันว่าเป็นเมนูที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวซุนดา อินโดนีเซีย เป็นการทำอาหารโดยใช้ใบตองมาห่อ โดยใช้ปลาบู่ที่เป็นสายพันธุ์หายาก รสชาติอร่อย มีส่วนประกอบหลักคือ ขมิ้น ตะไคร้ และความเปรี้ยวจากมะเขือเทศ และมีผักแขยงรวมอยู่ด้วย เวลาทานให้ตักทุกส่วนประกอบและกินพร้อมกัน รสชาติจัดจ้านสไตล์ใต้สุดๆ

 

มัจฉาซ่อนรส (อายุ 1200 ปี

 

       คอร์สที่ 6 อัมพิละนางรม (หอยนางรมจี๊ดจ๊าด) จากบันทึกของลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสที่เดินทางมาเยือนกรุงศรีอยุธยา เป็นการหยิบเอา หอยนางรม พันธุ์หอยตะโกรม จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มีรสชาติหวาน ท็อปด้วยกรานิต้ามะปี๊ด ขิงซอย มะตูมแขกและผักชีล้อม เป็นเมนูที่ได้ทั้งความหวาน หอม และสดชื่นเข้ากันได้เป็นอย่างดี

 

อัมพิละนางรม (อายุ 336 ปี)

 

       คอร์สที่ 7 เครื่องแกงแฝงพวงร้อย (ฉู่ฉี่ไข่ปลาช่อน) เกิดขึ้นในรัชสมัยพระนารายณ์ ที่ได้มีการค้าขายจากทางอินเดีย ที่ได้เทคนิคการปรุงอาหารโดยใช้กะทิ โดยเมนูนี้ใช้เป็นไข่ปลาช่อนแม่ลา จากจังหวัดสิงห์บุรี ท็อปด้วยคุกกี้เครื่องแกงที่เป็นเครื่องแกงเผ็ด และลูกสามสิบ ซึ่งจะมีรสชาติคล้ายมะเขือพวง แต่มันกว่า เข้ากับพริกแกงได้ดีมาก เวลาทานคู่กันทั้งหมด บอกเลยว่าเข้มข้นสุดๆ

 

เครื่องแกงแฝงพวงร้อย (อายุ 336 ปี)

 

        คอร์สที่ 8 กระยาหารส่งถวาย (ซุปไก่ดำรังนก) เกิดในรัชสมัยพระนารายณ์ เป็นการถวายเมนูซุปยาจีนแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดยเมนูนี้ใช้ไก่ดำจากเชียงใหม่ นำไปตุ๋นจนได้น้ำซุปเข้มข้น จากนั้นนำรังนกปัตตานีที่มีกิโลกรัมละ 80,000 บาท นำไปนึ่ง 1 ชั่วโมง และนำมาผสมเข้ากันกับน้ำซุป และตุ๋นต่ออีก 8 ชั่วโมง รสชาติกลมกล่อม หอมละมุน ไม่หวาน ไม่เค็มจนเกินไป

 

กระยาหารส่งถวาย (อายุ 336 ปี)

 

      คอร์สที่ 9 เลิศรสลงสรง (กุ้งย่างน้ำปลามะกอก) เป็นเมนูที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนสมัยรัตนโกสินทร์ ช่วง ร.6 - ร.7 ที่มีบ้านติดริมน้ำ โดยความพิเศษของเมนูนี้จะอยู่ที่น้ำจิ้ม ที่ทำจากน้ำปลามะกอก น้ำบูดู เวลาทานให้ราดซอสลงไปบนกุ้ง และผสมให้เข้ากันกับผัดเคียงบนจาน จะยิ่งทำให้รสชาติอร่อยมากยิ่งขึ้น

 

 

เลิศรสลงสรง (อายุ 112 ปี)

 

      คอร์สที่ 10 หมากชื่นกลิ่น (กรานิต้ามะเม่า) มะเม่าถือเป็นผลไม้โบราณที่ค้นพบในแถบภาคอีสาน มีมานานจนไม่สามารถระบุช่วงเวลาได้แน่ชัด โดยเมนูนี้นำมะเม่ามาทำเป็นกรานิต้า ท็อปด้วยมิ้นท์คาเวีย ซึ่งเป็นเมนูที่ทำให้ได้รับความสดชื่น ก่อนจะเข้าสู่เมนคอร์ส นั่นเอง

 

หมากชื่นกลิ่น (ไม่สามารถระบุเวลาได้)

 

       คอร์สที่ 11 การะเกตุถือดาบ เป็นอาหารในสมัย ร.5 โดยทำจากส่วนเนื้อซี่โครงสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายดาบ คือ ใช้ส่วนของซี่โครงแกะ จึงทำให้เกิดชื่อเมนูนี้ เนื้อแกะที่วางอยู่บนซอสการะเกดที่ทำจากขมิ้นและกะทิ เสิร์ฟพร้อมข้าวมันปู และน้ำอาจาดแขก เนื้อแกะนุ่มละมุน กินคู่กับข้าวมันปูและน้ำอาจาด บอกเลยว่าเป็นเมนคอร์สที่ลงตัว

 

การะเกตุถือดาบ (อายุ 140 ปี)

 

       คอร์สที่ 12 ทวิรสสดชื่น (ปลาแห้งแตงโม) เป็นเมนูของว่างทานเล่นตั้งแต่สมัยอยุธยา และอีกหนึ่งบันทึกจากเจ้าครอกวัดโพธิ์ ที่กล่าวถึงเมนูของว่างคลายร้อนที่เรียกว่า ผัดปลาแห้งแตง อุลิต หรือ ปลาแห้งแตงโม เมื่อปี พ.ศ.2352 อีกด้วย ทางร้านนำมาปรับรูปแบบใหม่ให้มีความโมเดิร์นมากขึ้น โดยใช้แตงโมสีเหลืองและแตงโมสีแดงนำไปแช่กับไวท์ไวน์ ท็อปด้วยเจลมะกรูด และเจลไวท์ไวน์ ในส่วนของปลาแห้ง ใช้เป็นปลาช่อนแม่ลา เพิ่มความสนุกด้วยป็อปปิ้งแคนดี้  

 

ทวิรสสดชื่น (อายุ 500 ปี)

 

       คอร์สที่ 13 หินฝนทอง ขนมตัวนี้มักจะถูกพกไปพร้อมกับทหารที่ออกรบในสมัยกรุงธนบุรี เป็นขนมที่ทานเพื่อให้พลังงานระหว่างออกรบ ทำจากข้าวเสาไห้ งาดำ กะทิ กากมะพร้าวเผา มีทั้งหมด 3 ชั้น โดยมีชั้นบิสกิต มูส และตัวขนม ใช้เวลาทำทั้งหมด 3 วัน หน้าตาของขนมทำเลียนแบบหินฝนทอง เป็นหินที่ใช้ทดสอบทองแท้ทองปลอมของคนสมัยโบราณนั่นเอง

 

หินฝนทอง (อายุ 300 ปี)

 

       คอร์สที่ 14 บิสกิตแครนเบอร์รี (สัมปันนีแครนเบอร์รี) ขนมนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากขนมสัมปันนี ซึ่งเป็นขนมของชาวโปรตุเกส เป็นขนมที่มีต้นกำเนิดมาจากท้าวทองกีบม้า หัวหน้าห้องเครื่องต้นในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา ในสมัย 300 กว่าปีก่อน เชฟได้ปรับแต่งสูตรเล็กน้อยโดยเพิ่มตัวแคนเบอร์รีเข้าไป ให้รสชาติออกเปรี้ยวสดชื่น ผสมกับแป้งมันสำปะหลัง กะทิอบควันเทียน ใช้เวลาทำประมาณ 2 วัน เรียกว่าเป็นเมนูที่ปิดท้ายคอร์สได้อย่างดีเยี่ยม

 

บิสกิตแครนเบอร์รี (อายุ 300 ปี)

 

      14 คอร์ส เริ่มต้น 3,500 บาท ++ โดยเมนูนี้จะอยู่ประมาณ 4 เดือน และหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ใครสนใจอยากลิ้มลองรสชาติอาหารไทยของคนสมัยก่อน ต้องตามเปิดประสบการณ์กันได้ที่ ตามกาล Time Kaan 

 

 

 

ข้อมูลร้าน ตามกาล Time Kaan

  • พิกัด : https://goo.gl/maps/J9o8ixtZHA4DPpj16
  • ที่อยู่ : อาคารกินรี สุขุมวิท 8 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร
  • ร้านเปิดบริการ : 17.30 - 23.00 น. 
  • โทร : 08-2646-1664
  • ที่จอดรถ : มี (valet parking)
  • เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/TimeKaan

 

บทความที่คุณอาจสนใจ

ยอดนิยมในตอนนี้

สิทธิพิเศษแนะนำ

ยอดนิยมในตอนนี้

สิทธิพิเศษแนะนำ