ประโยชน์ของหม่าล่า สมุนไพรจีน ฮวาเจียว อร่อยลิ้นชา สรรพคุณมาแน่นๆ
ประโยชน์ของหม่าล่ามีอะไรบ้าง ? บอกเลยว่าชั่วโมงนี้ไม่มีอาหารเมนูไหนมาแรงเท่า หม่าล่า MALA อีกแล้ว ด้วยเสน่ห์ของความอร่อยเผ็ดลิ้นชา ที่มาพร้อมสรรพคุณที่ดีต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น บุฟเฟ่ต์ ชาบูหม่าล่าสไตล์จีน หม่าล่าสายพาน หม่าล่าปิ้งย่าง หม่าล่าทัง จะเปิดร้านอะไรมาก็ปังกันแทบทุกร้าน แล้วสำหรับใครที่เป็นสายหม่าล่า ที่กำลังอยากรู้ว่ากินหม่าล่ากินเยอะๆ แล้วจะมีผลเสียต่อร่างกายไหม วันนี้เราจัดมาให้แล้วกับ ประโยชน์ของหม่าล่า สมุนไพรจีน ฮวาเจียว ตามเรามาหาคำตอบกันเลยค่ะ ว่ากินหม่าล่าแล้วดียังไง!
หม่าล่าคืออะไร
หม่าล่า คืออะไร จริงๆ แล้ว หม่าล่า หรือ หมาล่า นั้นเป็นชื่อเรียกของอาการเผ็ดและชาที่ปลายลิ้น หลังจากที่เราได้ทานอาหาร ซึ่ง หม่าล่า นั้นเป็นเครื่องเทศจีน เครื่องปรุงอาหารที่ประกอบด้วยสมุนไพรหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น พริกป่น โป๊ยกั๊ก ยี่หร่า ขิงผง เกลือ และ พริกไทยเสฉวน หรือ ฮวาเจียว ส่วนผสมอาจจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละสูตร ซึ่งสิ่งที่ทำให้ลิ้นของเราเกิดอาการชา ก็คือเม็ดฮวาเจียวนั่นเองค่ะ หม่าล่านั้นนิยมใส่ในอาหารหลากหลายประเภท ทั้ง ต้ม ผัด แกง ทอด รวมไปถึงเมนูปิ้งย่าง ด้วยกลิ่นและรสชาติที่มีเอกลักษณ์ เลยทำให้หลายๆ คนที่ได้ทานหม่าล่านั้นต้องติดใจไปตามๆ กัน
ฮวาเจียว คืออะไร
ฮวาเจียว (Huajiao) หรือ พริกไทยเสฉวน (Sichuan Pepper) เครื่องเทศที่มีลักษณะภายนอกคล้ายพริกไทยดำ แต่ส่วนเปลือกจะมีสีน้ำตาลแดง มีต้นกำเนิดมาจากมณฑลเสฉวน ประเทศจีน เป็นเครื่องเทศที่ให้รสชาติเผ็ดร้อนลึกๆ และความรู้สึกชาที่ปลายลิ้น ฮวาเจียว เป็นเครื่องเทศที่มักจะถูกใส่อยู่ในอาหารเสฉวนเกือบทุกประเภท โดยเฉพาะเมนูหม่าล่า ด้วยความเชื่อของชาวจีนเสฉวนที่ว่าความเผ็ดร้อนของฮวาเขียว จะช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี และช่วยขับความชื้นออกจากร่างกาย การนำฮวาเจียวมาใช้ ก็สามารถใช้ได้ทั้งเมล็ดสด เมล็ดแห้ง โดยการใส่ทั้งเมล็ดหรือนำมาบดเป็นผงเครื่องเทศก่อนก็ได้ เวลาที่เราทานหม่าล่าแล้วรู้สึกชาที่ลิ้นเป็นพิเศษ ให้รู้ไว้เลยว่าเรากำลังเคี้ยวโดนเจ้าเม็ดฮวาเขียวอยู่นั่นเองค่ะ
เราสามารถเรียกพริกไทยเสฉวนนั้น ได้ทั้ง ฮวาเจียว และ ชวงเจีย ทั้ง 2 ชื่อนั่นคือชื่อเรียกของ พริกไทยเสฉวนเหมือนกันค่ะ แต่ต่างกันที่การเรียกของแต่ละมณฑล ในประเทศจีนเท่านั้นเอง
ในส่วนของเครื่องเทศ สมุนไพรไทย ที่ให้รสชาติ และออกฤทธิ์คล้ายคลึงกับ ฮวาเจียว ก็คือ มะแขว่น เครื่องเทศที่เป็นที่นิยมของทางภาคเหนือ ที่มักจะเป็นส่วนผสมของอาหารเหนือหลายๆ เมนูนั่นเอง
ประโยชน์ของหม่าล่า ฮวาเจียว พริกไทยเสฉวน
- มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบการไหลเวียนเลือด เหมาะกับผู้ป่วยโรคโลหิตจาง เพราะพริกไทยเสฉวนมีปริมาณธาตุเหล็กสูง
- ช่วยลดความเจ็บปวด ด้วยคุณสมบัติของพริกชนิดต่างๆ ที่เมื่อเราทานพริกเข้าไปร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุข หรือเอ็นโดรฟินออกมา จึงช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้
- ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร สารแคปไซซิน (Capsaicin) ที่พบมากในพริกแทบทุกชนิด รวมไปถึงพริกไทยเสฉวน มีฤทธิ์ช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี ซึ่งในหม่าล่านั้นประกอบด้วยทั้งพริกไทยเสฉวนและพริกแห้ง การทานหม่าล่าจึงอาจสามรถช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารได้
- ช่วยลดความดันโลหิต และคอเลสเตอรอล ด้วยส่วนผสมของสมุนไพรหลากหลายชนิดในหม่าล่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยให้เสริมการทำงานของหัวใจให้แข็งแรง ช่วยลดความดันโลหิต และคอเลสเตอรอลได้
- ช่วยบำรุงการทำงานของหัวใจ ช่วยลดโอกาสการเกิดความผิดปกติต่างๆ เช่น ต้านการแข็งตัวของเลือด และอาการหลอดเลือดตีบ
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้
- ช่วยขับลมในลำไส้ กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
- ช่วยลดอาการอักเสบในลำไส้ ป้องกันการเป็นตะคริว ท้องอืด และท้องผูก
- มีสารต้านอนุมู,อิสระ ช่วยเสริมความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- น้ำมันหอมระเหยของพริกไทยเสฉวนนั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารเคมีอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายสามารถต้านเชื้อราและไวรัสได้ดี
- ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก ป้องกันภาวะโรคกระดูกพรุน
- ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติในสตรี
- ช่วยบำรุงสายตา ทำให้จอประสาทตาแข็งแรง ลดความเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อม และการสูญเสียการมองเห็น
- ใช้สูดดมแก้อาการวิงเวียนศีรษะ
- ความเผ็ดร้อนของหม่าล่า จะช่วยให้ร่างกายขับเหงื่อออกมา ช่วยลดอาการไข้ และดับพิษร้อนในร่างกาย
- ช่วยบรรเทาอาการอักเสบในลำคอ ขับเสมหะ
- บรรเทาอาหารของโรคหวัด คัดจมูก
- ช่วยลดอาการไซนัส สารแคปไซซิน (Capsaicin) ที่พบในพริกแห้ง และพริกไทยเสฉวน มีคุณสมบัติในการช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก และอาการปวดจากไซนัสได้ชั่วคราว
- ช่วยให้อยากอาหาร
- ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญ
ข้อควรระวังในการทานหม่าล่า
ด้วยความที่หม่าล่า เป็นอาหารที่มีรสชาติเผ็ดร้อนเป็นหลัก ข้อควรระวังในการทานหม่าล่า หลักๆ จะเป็นในส่วนของผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร และระบบลำไส้ ดังนั้นควรทานแต่พอดี ไม่ควรทานหม่าล่าในปริมาณที่มาก และต่อเนื่องจนเกินไป
- ผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร ไม่ควรทานหม่าล่าตอนท้องว่าง หรือไม่ควรทานหม่าล่าที่มีความเผ็ดระดับสูง เพราะรสเผ็ด อาจไปกระตุ้นให้กระเพาะอาหารผลิตกรดขึ้นมาเยอะ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อแผลในกระเพาะอาหาร หรือเกิดอาการปวดท้องเนื่องจากแผลในกระเพาะอาหาร
- ผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อน กรดที่ไหลย้อนหลังจากการทานหม่าล่า หรืออาหารรสเผ็ดจัด อาจจะทำให้เยื่อบุหลอดอาหารระคายเคือง และเกิดอาการแสบร้อนกลางอกที่มากขึ้นได้
- ผู้มีปัญหาลำไส้แปรปรวน เนื่องจากหม่าล่าเป็นอาหารที่มีรสชาติจัดจ้น เผ็ดจัด เค็มจัด การทานอาหารที่รสจัดมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายเกิดอาหารท้องอืด ปวดท้อง รวมไปถึงอาจจะเกิดอาการท้องเสียได้
- ซุปหม่าล่า เป็นซุปที่มี ไขมันค่อนข้างมาก ดังนั้นควรทานในปริมาณที่พอดี และเว้นช่วงการทาน เพื่อให้ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย
บทความที่คุณอาจสนใจ
- 18 ร้าน ชาบูหม่าล่า หม้อไฟสไตล์จีน ในกรุงเทพ อร่อยเด็ด เผ็ดลิ้นชา
- รวม 12 ร้านสุกี้ ชาบูหม่าล่าสายพาน กรุงเทพ อร่อยลิ้นชา ราคาเบาๆ
- หม้อไฟจีนมีกี่ประเภท และทำไมถึงเป็น หม้อไฟแห่งความสุข
- แจกสูตรทำ น้ำซุปหม่าล่า น้ำชาบูเข้มข้น สไตล์ไต้หวัน ทำง่าย อร่อยฟินเหมือนต้นตำรับ
- แซ่บถึงใจ ! 15 ประโยชน์ของพริก เผ็ดจี๊ดแล้วไง ประโยชน์เพียบแล้วกัน