8 ประโยชน์ของ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ กินแล้วดี อย่างไร?

nnanthisin

4 เมษายน 2568 ( 18:30 )

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ กินแล้วดียังไง ? นอกจากมะม่วงหิมพานต์จะเป็นขนมขบเคี้ยวที่อร่อย และถูกนำมาประกอบเป็นเมนูอร่อยต่างๆ ทั้งคาวและหวานแล้ว วันนี้เรามี 8 ประโยชน์ของมะม่วงหิมพานต์ มาฝาก เพราะภายใต้ความอร่อย ยังแฝงไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งร่างกายภายในและภายนอก แต่แน่นอนว่าการกินในจำนวนเยอะเกินไปก็อาจเกิดข้อเสียได้ ข้อดีและข้อเสียของการกินมะม่วงหิมพานต์ มีอะไรบ้าง ตามมาดูกัน

ต้นกำเนิด มะม่วงหิมพานต์

มะม่วงหิมพานต์ (Cashew) ผลไม้ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศบราซิล ในทวีปอเมริกาใต้ มะม่วงหิมพานต์เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนชื้นของทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล และถูกค้นพบในช่วงศตวรรษที่ 16 ปัจจุบันมะม่วงหิมพานต์ได้ถูกปลูกในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในเขตร้อนและเขตกึ่งเขตร้อน เช่น อินเดีย, เวียดนาม, ไอวอรี่โคสต์, และประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ปลูกมะม่วงหิมพานต์มากเช่นกัน

ประโยชน์ของ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์

1. เสริมสุขภาพหัวใจ

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fats) ซึ่งเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดอุดตันและความดันโลหิตสูง

2. ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีแคลเซียม, แมกนีเซียม, และฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนและเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง

3. ช่วยบำรุงผิวพรรณ

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนนุ่ม ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยจากการแก่ก่อนวัย และลดอาการอักเสบที่เกิดจากสิวหรือผิวแห้งกร้าน

4. ช่วยในการทำงานของสมอง

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีโฟเลต (Folate) และวิตามินบี ซึ่งมีบทบาทในการพัฒนาสมองและระบบประสาท ช่วยเสริมความจำและการทำงานของสมอง และช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ

5. ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

การกินเมล็ดมะม่วงหิมพานต์สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยไม่ทำให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน

6. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีสังกะสี (Zinc) ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อต่างๆ ได้ดีขึ้น

7. ช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีไฟเบอร์ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้การย่อยอาหารเป็นไปได้ดีและป้องกันอาการท้องผูก

8. ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โดยช่วยป้องกันการทำลายเซลล์จากอนุมูลอิสระที่อาจทำให้เกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย

ข้อเสียของการกิน เมล็ดมะม่วงหิมพานต์

การกินเมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีประโยชน์มากมาย แต่หากทานในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจมีข้อเสียได้ ดังนี้

เพิ่มน้ำหนัก
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีแคลอรีสูง เนื่องจากมีไขมันในปริมาณมาก การทานในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้ได้รับแคลอรีเกินจำเป็น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันในร่างกายและเพิ่มน้ำหนักได้
อาจทำให้เกิดอาการแพ้
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นถั่วที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ในบางคน เช่น อาการบวม คัน หรือผื่นแดง ในกรณีที่แพ้หนักอาจทำให้เกิดอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบากและช็อก
มีเกลือและสารเคมีจากการคั่ว
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ที่คั่วหรืออบอาจมีการเติมเกลือหรือสารเคมีจากการใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งการบริโภคในปริมาณมากอาจทำให้ร่างกายได้รับเกลือและสารเคมีที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
เสี่ยงต่อการเกิดอาการท้องเสีย
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีไฟเบอร์และไขมันสูง การทานในปริมาณมากอาจทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานหนักและอาจส่งผลให้เกิดอาการท้องเสียหรือท้องอืดได้
อาจมีสารพิษ Aflatoxins
ในบางกรณี เมล็ดมะม่วงหิมพานต์อาจมีการปนเปื้อนของสารพิษ Aflatoxins ซึ่งมาจากเชื้อรา ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคตับหรือมะเร็งได้ หากทานในปริมาณมากและไม่ระวังแหล่งที่มา
อาจทำให้ระดับกรดยูริคสูงขึ้น
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์มีสารพิวรีน (Purines) ซึ่งอาจทำให้ระดับกรดยูริคในเลือดสูงขึ้น การทานในปริมาณมากอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเกาต์ (Gout) หรืออาการปวดตามข้อต่างๆ
เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางเดินอาหาร
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์บางชนิดมีสารที่เรียกว่า "แอนตี้นิวทรียอง" (Antinutrients) ซึ่งอาจลดการดูดซึมของแร่ธาตุบางชนิดจากอาหาร โดยเฉพาะในกรณีที่รับประทานในปริมาณมาก