ผมเคยเขียนเล่าเรื่องการนำส้มแขกมาใช้เป็นวัตถุดิบให้รสเปรี้ยวในกับข้าวชาวใต้ ชื่อ ส้มแขก ชูรสเปรี้ยวเมนูแกงใต้ ชูความสวยอรชร แล้ว ครั้งนี้จึงกลับมาเล่าใหม่ ทว่ามุ่งไปที่กระบวนการได้มาของส้มแขก ที่ใช้ทำกับข้าว สาเหตุที่เรียกว่า “ส้มแขกใช้ทำกับข้าว” เพราะผลสดส้มแขกเป็นสีเขียว ลักษณะกลม การจะนำมาเป็นวัตถุดิบให้รสเปรี้ยวต้องฝานเนื้อจากผลสดมาตากแดดให้แห้งเสียก่อน ฉะนั้นจึงต้องขอแยกส่วนให้เห็นข้อแตกต่าง เนื่องจากภาษาไทยกลาง เรียกแบบผลสด กับชิ้นตากแห้งว่า ส้มแขก เหมือนกัน ต่างจากภาษาท้องถิ่น จังหวัดนราธิวาสบ้านผม ที่เรียกผลสดว่า ส้มโก เรียกชิ้นตากแห้งว่า ส้มแขก ส้มแขกใช้ทำกับข้าวคือวัตถุดิบให้รสเปรี้ยว ลักษณะเป็นชิ้นเล็ก ๆ กว้างประมาณ 1 เซ็นติเมตร ยาวประมาณ 3 เซ็นติเมตร สีดำ การที่เรียกส้มแขก ก็ประมาณได้ว่าอาจมาจาก ทั้งสีดำของมัน และต้นกำเนิดของมันซึ่งมาจากอินเดียและศรีลังกา วิธีทำส้มแขกใช้ทำกับข้าว เริ่มจากเก็บผลแก่ของมันมาฝานเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วตากแดดให้แห้ง (บางแห่งใช้วิธีอบ) เคล็ดลับการเพิ่มความร้อน ให้ส้มแขกแห้งเร็ว ชาวบ้านจะตากบนแผ่นสังกะสี เพราะเมื่อสังกะสีร้อนก็ส่งผลให้ด้านที่ไม่โดนแดดร้อนตามไปด้วย ไม่ต้องมานั่งกลับด้านเหมือนตากบนไม้ หรือบนผืนกระสอบ เมื่อแห้งได้ที่แล้ว ขั้นตอนต่อมา คือ พรมด้วยน้ำเกลือ เพื่อช่วยถนอมอายุให้นานยิ่งขึ้น ตากให้แห้งอีกครั้ง แล้วเก็บในภาชนะมิดชิด ราคาของส้มแขกใช้ทำกับข้าว แม้หน้าตาไม่ดี แต่ราคาสูงไม่ใช่เล่น ตกอยู่ที่ 100 – 300 บาท ต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับคุณภาพของผู้ทำ เห็นราคาแพง แต่ไม่จำเป็นต้องซื้อทีละเป็นกิโลกรัม เพราะใช้ใส่แกงครั้งละ 2 – 3 ชิ้นเท่านั้น อีกอย่างคงไม่มีบ้านไหนทำแกงรสเปรี้ยวทุกมื้อ (แม้จะมีประโยคอำคนใต้ว่า ทุกมื้อมีแกงส้มก็เถอะ) นอกจากใช้ปรุงรสในปริมาณน้อยแล้ว ส้มแขกใช้ทำกับข้าวยังเก็บได้นานอีกด้วย ดังนั้นชาวใต้ที่บ้านมีต้นส้มแขก (ซึ่งส่วนมากถ้าปลูก ก็ปลูกไว้แบบฝากฟ้าฝากดินบ้านละต้นสองต้นเท่านั้น) จึงมักเก็บผลร่วงมาผ่าตากทีละเล็กน้อย ที่เหลือบนต้นก็แบ่งเพื่อนบ้านบ้าง ปล่อยให้ร่วงหล่นบ้าง เพราะถือเป็นของที่ไม่ต้องลงทุน ทั้งนี้แม้จะบอกว่าชาวบ้านไม่ได้หวงส้มแขก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเกษตรกรปลูกสวนส้มแขกนะครับ กรณีที่ปลูกเป็นสวน ผลิตขายเป็นร่ำเป็นสันก็มีเช่นกัน ภาพประกอบโดย ผู้เขียน หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !