เนื่องจากผู้เขียนได้มีโอกาสไปเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวไทใหญ่ ในอำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย วิถีชีวิต บ้านเรือน หรือแม้แต่อาหารการกิน และพบว่าชาวไทใหญ่นั้นมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก และด้วยความที่เป็นเมืองกึ่งปิดบนภูเขาทำให้เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมหลายอย่างยังคงอยู่ และหนึ่งในเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่จะมาเล่าให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับชมในวันนี้ คือวัฒนธรรมขนม ที่เรียกว่า ข้าวปุก ข้าวปุก เป็นขนมของชาวไทใหญ่ นิยมกินกันในช่วงอากาศหนาว มีลักษณะคล้ายกับขนมโมจิของญี่ปุ่นแต่เป็นสีดำ ทำจากข้าวเหนียว และใส่งาขี้ม่อน ตำด้วยครกกระเดื่องขนาดใหญ่ หรือครกมือ เวลาตำจะมีเสียงดัง “ปุก..ปุก” จึงเป็นที่มาของชื่อขนมข้าวปุก ความจริง หลายคนอาจจะเคยลิ้มลองขนมชนิดนี้แล้ว เวลามาเที่ยวที่ภาคเหนือ เพราะสามารถหาทานได้ง่าย แต่น้อยคนมักจะไม่ค่อยทราบถึงกรรมวิธีในการทำ วันนี้เราจะพาผู้อ่านทุกท่านได้มาเรียนรู้ถึงการทำขนม “ข้าวปุก” ข้าวเหนียวตำแสนอร่อยที่ครองใจของใครหลายคน ส่วนผสมของ “ข้าวปุก” นั้นน้อยมาก มีเพียงแค่ ข้าวเหนียวนึ่งสุกใหม่ งาขี้ม่อน และเกลือ เพียงแค่ 3 อย่างเท่านั้น เริ่มแรกคือการทำความสะอาดครกให้เรียบร้อย ตรวจดูว่ามีแมลง มด อะไรอยู่ในครกหรือเปล่า เพราะเราจะต้องตำข้าวในนั้น หากมีแมลงอะไรอยู่ด้านในแน่นอนว่าจะต้องเนียบเป็นเนื้อเดียวกับขนมเป็นแน่ นำงาขี้ม่อนทาให้ทั่วด้านในครก และนำงามาทาไว้ที่สากด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวติด จากนำข้าวเหนียวที่นึ่งสุกใหม่ๆ ใส่ลงไป โรยงาขี้ม่อนให้ทั่ว โรยเกลือเล็กน้อย และเริ่มลงมือตำ ! ในที่นี้เราไม่ได้ใช้ครก กระเดื่องแต่เป็นครกมือ ที่ต้องใช้แรงตำล้วนๆ มีผู้ชายก็ให้ผู้ชายตำจะดีที่สุด ขอแนะนำสำหรับผู้หญิงที่อยากจะตำ ในตอนแรกๆที่ส่วนผสมยังไม่เหนียวดีให้ตำเป็นมือแรก เพราะหลังจากนั้นความเหนียวของขนมจะทำให้ตำยากขึ้นอีกหลายเท่า ! ในระหว่างตำ ก็ต้องพยายามพลิกก้อนข้าวเหนียวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ข้าวเหนียวได้รับการตำที่ทั่วถึงกัน ขั้นตอนนี้จะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่าง ผู้ตำ และผู้พลิกเป็นอย่างมาก ให้สอดประสานกัน ไม่ใช่นั้น อาจจะตำโดนมือเพื่อก็เป็นไปได้ หลังจากออกแรงไปสักพัก หากข้าวเหนียวเริ่มติดครก และสาก ก็ใช้งาขี้ม่อนทาไปเรื่อยๆ และพยายามชิมรสเสมอ และตำไปจนกว่าข้าวเหนียวจะกลายเป็นเนื้อเดียวกันเหนียวนุ่ม ตักขึ้นมาจากครกนำมาห่อใส่ใบตอง อาจะเป็นห่อแบบแผ่น หรือห่อเป็นก้อนก็ได้ตามชอบ โดยสามารถเก็บไว้กินได้ 3-4 วัน ทีนี้หลังจากที่ข้าวปุกพร้อมจะรับประทานแล้ว หากแค่รับประทานแค่ตัวข้าวปุกเปล่าๆ รสชาติอาจจะไม่ถูกปากหลายๆคน เนื่องจากมันจะไม่มีรสอะไรเลย ดังนั้นภูมิปัญญาของชุมชนคือการทำน้ำซอสขึ้นมาไว้กินคู่กัน ซึ่งเรียกว่า ซอสน้ำตาลอ้อย โดยการตั้งกระทะ เติมน้ำเล็กน้อย และนำน้ำตาลอ้อยลงไปละลาย เพียงเท่านี้ก็จะได้ซอสน้ำตาลอ้อยเหนียวๆ ให้ข้าวปุกร้อนๆ ได้จิ้มเพิ่มเติมความหวานแล้ว มาเที่ยวแม่ฮ่องสอน ต้องมาลองกินข้าวปุก ข้าวปุกที่อร่อย ต้องกินตอนที่ยังร้อนๆ พึ่งตำเสร็จใหม่ๆ เหนียวนุ่ม และสามารถเก็บไว้กินในครั้งต่อไปได้ โดยการนำมาย่างบนไฟอ่อนๆ เท่านี้ก็จะได้ข้าวปุกย่างกลิ่นหอมฉุย กรอบนอกนุ่มในก็อร่อยไปอีกแบบ รับรองว่าได้กินแล้วจะติดใจ