#หีบเหินเดินทาง “ตาวีฟาร์ม” ดื่มด่ำ ชีวิต ความรัก สวนผัก ความสุข #หีบหิว #หีบเหินเดินทาง #หีบเข้าโรง #หีบเป็นหนอน #น้องหีบหาย “ติดตามหีบไว้ เที่ยวเขาใหญ่ ง่ายนิดเดียว” หากทุกๆ ท่านได้ติดตามน้องหีบ คงพอจะจำได้ว่าช่วงปีที่แล้ว หีบได้มาที่ “ตาวีฟาร์ม” แห่งนี้ครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งเขียนรีวิวเกี่ยวกับความน่าสนใจชองสถานที่แห่งนี้ไปแล้วบางส่วน ซึ่งความประทับใจทั้งหมดคงไม่ได้อยู่ที่ กาแฟรสชาติดี กับสวนผักที่ไร้ซึ่งสารเคมีใดๆ หรอกครับ ส่วนประกอบเหล่านั้นคงไม่สามารถทดแทนกับ “ความจริงใจ” และ “การบริการ” ที่ทุกๆ คนที่ได้มาเที่ยวฟาร์มผักแห่งนี้พูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า “ที่สุดของความประทับใจ” ได้หรอก ตาวีฟาร์มแห่งนี้บริหารงานโดย “คุณบอย” และ “คุณยุ้ย” สองสามีภรรยาที่หันเหชีวิตจากเมืองกรุง ละทิ้งรายได้หลักแสนเพื่อมาเริ่มต้นในที่ดินแสนไกลปืนเที่ยงแห่งนี้ และทำร่วมกับคนงานอีกไม่กี่คนเท่านั้น เพราะพื้นที่ฟาร์มไม่ได้กว้างขวางมากนัก เป็นฟาร์มเล็กๆ และไม่เคยคิดที่จะขยายออกไป แม้ปัจจุบันจะมีผู้ให้ความสนใจมากมายเพียงไรก็ตามที นั่นเพราะคุณบอยเป็นคนบอกกับผมเองว่า “มันไม่พอดี” ความหมายของคำว่า “พอดี” ที่ผมได้รับจากคุณบอยนั้นคงหมายความว่าความพอดีในทุกๆ ด้าน เหนื่อยแต่พอดี ทำแต่พอดี รักแบบพอดี และสุขแบบพอดี ไม่ต้องมากมายเกินไป ไม่ต้องน้อยเกินไป และไม่ฝืนที่จะทำอะไรจนเกินไป เพราะทันทีที่เราฝืน หรือทำอะไรเกินตัว ท้ายที่สุดมันก็จะกลายเป็นความ “ไม่พอดี” ซึ่งส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงคืนกลับมาเป็นคำว่า “ไม่ดีพอ” นั่นเองครับ “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง” เป็นหนึ่งคำคมที่ทางฟาร์มติดเอาไว้ที่ส่วนของคาเฟ่ และมีอีกหลายๆ คติเตือนใจที่ไม่ได้ติดไว้ให้มันดูอินดี้ แต่มันคือถ้อยคำเตือนใจที่คุณบอยและคุณยุ้ยได้ยึดและพึงกระทำมาอย่างเสมอ ณ เวลานี้ที่มันลงตัวไปเสียทุกๆ อย่างแล้ว รายได้ที่หลายคนอาจจะมองว่าเทียบกับเงินหลักแสนที่ทิ้งมาไม่ได้ ผมว่าปัจจุบันแม้มันจะไม่เท่า แต่พอเงินกับความสุขมันได้โคจรมาพบกัน มันก็ทำให้ทุกๆ อย่างก้าวไปได้แบบไม่ขัดเขินครับ “กลับมาที่นี่ ทำอะไรก็ไม่เป็น เน้นใหญ่ เน้นเยอะไว้ก่อน ผักมาก็ฉีดยา อัดยาเข้าไป ทำอะไรก็ได้ที่คิดว่ามันจะต้องได้ กลายเป็นว่าฝืน ซึ่งในช่วงแรกๆ ที่ทำๆ มาจากคนไม่เคยเป็นหนี้เลย กลายเป็นหนี้หลักล้านด้วยความไม่รู้ และความไม่พอดีของการกระทำตัวเอง” คุณบอยเล่าเรื่องราวชีวิตให้ผมฟังอย่างเป็นกันเอง มันไม่ใช่การตอกน้ำ ไม่ใช่การกรีดแผลเป็นขึ้นมาเพื่อให้เจ็บอีกครั้ง หากแต่ผมเองมองว่ามันคือการ “ก้าวผ่าน” ทุกๆ ครั้งที่เราสามารถก้าวผ่านสิ่งใดมาได้ อดีตที่แสนเจ็บปวดจะกลายเป็นเรื่องเล่าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและความรู้สึกนับร้อยพันที่หลอมรวมกันไว้ ผ่านทั้งความทุกข์ ความเศร้า น้ำตา และความสิ้นหวัง ท้ายที่สุด...ตาวีฟาร์มอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ก็เริ่มต้นขึ้นด้วย “หนี้หลักล้าน” และ “เงินสี่พันบาท” SET ZERO คงเป็นสิ่งเดียวที่อธิบายการเริ่มต้นได้ดีที่สุด คุณบอยเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง โดยใช้ “ความสุขและความพอเพียง” เป็นบรรทัดฐานในการก้าวผ่านของชีวิต ไม่ทำใหญ่เหมือนเดิม ไม่ฝืนเหมือนเดิม และไม่หลอกลวงความรู้สึกตัวเองเช่นเดิม “รู้สึกแย่และรู้สึกไม่ดีมาตลอดเหมือนกันนะ ที่ตอนนั้นปลูกผักที่ต้องกินสดๆ และกลับไม่กล้ากินผักตัวเอง เพราะรู้ว่าเราฉีดยาเราอัดยาต่างๆ เข้าไป มันรู้สึกผิดบาปลึกๆ ในใจ จนต้องบอกแฟนว่ายุ้ย...เราต้องเปลี่ยน เอาสารเคมีทิ้งไปให้หมดแล้วทำให้ทุกๆ อย่างกลายเป็นผักไร้สารอย่างแท้จริง นั่นคือเดินผ่านเมื่อไหร่ก็เด็ดกินได้เลยเมื่อนั้น เรากินได้ คนอื่นกินได้ ทุกอย่างต้องเป็นแบบนั้น ต้องไม่มีอะไรที่พาย้อนกลับไปที่จุดเดิม” คุณบอยเล่าด้วยความรู้สึกแน่วแน่ จากนั้นสองสามีภรรยาที่ “มีความสุข” ก็เริ่มพัฒนาฟาร์มเล็กๆ แห่งนี้อย่างเต็มที่ เรียนรู้ คิด วางแผน ทุกๆ อย่างเป็นระบบมากขึ้น และมีลู่ทางที่ชัดเจนมากขึ้น “พี่อาจจะได้ภาษีเรื่องการวางแผนการเงินหน่อย เพราะยุ้ยเขาทำงานด้านบัญชีมาก่อน เลยคิดทุกๆ อย่างออกมาละเอียดยิบ อันนั้นเป็นต้นทุนนะพี่ อันนั้นไม่ควรนะพี่ อันนี้ได้นะพี่ คือเราได้ทั้งภรรยาและเพื่อนคู่คิดที่เกื้อกูลกันอยู่ตลอดในทุกเรื่องราว” แววตาคุณบอยมีความสุข...ผมรับรู้ได้ ซึ่งกว่าจะผ่านวันนั้นมา ผมรับรู้ได้จากแววตาและความรู้สึกซึ่งสื่อผ่านเรื่องราวที่เล่าออกมาอย่างไหลลื่น ว่าการก้าวผ่านในอดีตนั้นต้องเจ็บปวดมากๆ เพราะเรื่องเล่าลื่นไหล และคุณบอยก็ยังคงเก็บรายละเอียดความล้มเหลวต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ความเศร้าครั้งนั้นทำให้ทุกๆ อย่างเริ่มถอยหลังลงคลอง เริ่มมืดดับ เริ่มติดลบมากขึ้นทั้งในตัวเองและในความรู้สึก แต่มันเริ่มต้น...มันเริ่มต้นจากการขายครั้งแรกในห้าง “พี่จำได้เลยว่าตอนที่ไปขอติดต่อขายของมันก็อายบ้างนั่นแหละ คนมันไม่เคย แต่เราก็ต้องทำ ไปขอเขาเปิดโต๊ะเล็กๆ วางผักขาย วันแรกจำได้เลย ขายผักได้สองสามพันบาท กอดกันอยู่ในห้าง-แล้วจากนั้นพี่ก็รู้ได้เลยว่านี่แหละ มันเริ่มแล้ว การเริ่มต้นของตาวีฟาร์มมันเริ่มแล้ว” จากช่วงเวลานั้น คุณบอยใช้จุดเริ่มต้นที่เหมือนเพียงแสงเปลวเทียนเล็กๆ ต่อเติมจนกลายเป็นกองไฟขนาดใหญ่ที่ไม่มีวันมอดดับ ล้างหนี้หลักล้านที่ฉุดชีวิตลงต่ำด้วยระยะเวลาสองปี แล้วจากจุดนั้น ฟาร์มก็เติมโตขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยความที่เราเป็นเรา ความที่มันพอดี และความที่มันเป็นความสุขของชีวิต ที่ไม่ได้หมายความว่า “รวยล้นฟ้า” แต่คือการหิวก็ได้กินอิ่ม นอนก็หลับสบาย ได้อยู่กับคนที่รัก ซึ่งจับมือกันผ่านทั้งคราบน้ำตาจนกลายเป็นรอยยิ้ม – ความอบอุ่นในเรื่องราวนั้นคงไม่น้อยกว่าดวงอาทิตย์ยามอัสดงตรงทิวเขาเบื้องหน้า “คือเราพยายามมองว่าให้มันเป็นการใช้ชีวิตมากกว่าจะเป็นธุรกิจ เพราะเราไม่ได้มีลูกน้องเยอะ คนงานก็แค่สองสามคน เย็นมาก็กินข้าวด้วยกันบ้าง นั่งคุยกันบ้าง ระยะห่างมันจะไม่มี ที่สำคัญเขาเป็นคนต่างด้าว พี่ก็สอนเขา ให้เขาเรียนรู้ที่จะใช้เงิน ส่งเงินกลับบ้าน ปลดหนี้ เพราะเขาเองเป็นหนี้ แรกๆ เขาก็แอนตี้ที่เราไปบอกไปสอนเขา ไปสร้างวินัยให้เขา แต่พอมันผ่านไปได้ เขามีเงินเก็บส่งไปปลดหนี้ที่บ้านก้อนโต เขาก็รับรู้ว่าเราปรารถนาอะไรในตอนท้าย และพี่ก็ยังบอกเสมอว่า วันหนึ่งที่กลับบ้าน ออกไปจากที่นี่ ต้องไปอย่างภาคภูมิ ปลดหนี้ แล้วกลับบ้าน...ให้ทุกๆ อย่างมันดีขึ้น ไม่ใช่ย่ำอยู่กับพี่” ผมมีเพียงรู้สึกอิ่มเอมที่เกิดขึ้น ตลอดช่วงเวลาชั่วโมงเศษๆ ที่นั่งคุยกัน ทั้งๆ ที่แอบมีคำถามในใจมากมายที่อยากรู้ แต่คุณบอยกลับเลือกที่จะเล่าเรื่องราวของตัวเองได้อย่างครบทุกประเด็น โดยไม่ปกปิดหรือไม่อายที่จะเล่า ซึ่งแต่ละก้าวย่างของเรื่องราวนั้นมันเริ่มจาก 0 และไปถึง 100 โดยที่ระหว่างทาง เรื่องราวของคุณบอยและตาวีฟาร์มก็ค่อยๆ ตอบคำถามผมไปอย่างช้าๆ รู้ตัวอีกที เมื่อเรื่องราวทุกๆ อย่างมันจบลง...ผมก็หมดคำถามไปเสียแล้ว กลับกัน...ผมกลับกลายเป็นผู้รับความอบอุ่นเหล่านั้นมาอย่างเต็มเปี่ยม และรู้สึกว่าคิดถูกแล้ว ที่ครั้งนั้นได้ก้าวมาที่นี่ มานั่งรับลมอยู่ที่นี่ และได้ฟังเรื่องราวที่ทำให้เรากลับไปขบคิดกับมันได้อย่างลึกซึ้ง ว่าวันนี้...เรามีความสุขที่แท้จริงแล้วหรือยัง ? อย่างที่ผมบอก ว่าที่นี่ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก และไม่ต้องการขยายเพื่อให้มันเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ต้อนรับผู้คนมากมาย คุณบอยต้องการเพียงว่าให้ที่นี่เป็นบ้านเพื่อน ที่สามารถแวะมาจิบกาแฟได้ แวะมากินผัก นั่งคุยกัน แน่นอนว่าผมเองยังแอบรู้สึกเลยว่าได้กลายเป็นน้องชายของคุณบอยไปแล้วจากเรื่องเล่าต่างๆ ที่ได้รับมา และในปัจจุบันนี้ ตาวีฟาร์มก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากนั่งท่องเที่ยวมากมาย และผู้ที่สนใจเรื่องการปลูกผัก ผักในฟาร์มนั้นแม้ว่าจะไม่ได้มากพอ แต่คุณบอยก็บอกว่า “ทุกๆ ต้นที่เริ่มปลูก นั่นคือเขาได้ทำการขายไปเรียบร้อยแล้ว” หมายความว่าผักทุกต้นมีเจ้าของตั้งแต่ยังเป็นเมล็ดด้วยซ้ำ นี่เรียกว่าขายดีคงไม่ได้ คงต้องตะโกนดังๆ ว่า “ขายโคตรดีเลย” คงจะคู่ควรมากกว่า แต่ถ้าหากทุกคนถามว่า มาที่นี่ จะได้อะไรกลับไป...แน่นอนครับ ทางฟาร์มก็ต้องมีผักที่เตรียมไว้ให้ลูกค้าอยู่แล้วสิครับ เพื่อให้ทุกคนที่มานั้นได้สัมผัสกับความแตกต่างอย่างถึงที่สุดของ “ผักปลอดสารตาวีฟาร์ม” มาที่นี่ทั้งทีไม่ทานผักก็คงไม่ได้นั่นแหละครับ แล้วคุณจะรู้ว่ามันมีสัมผัส และรสชาติที่ดีเยี่ยมขนาดไหน ในส่วนของคาเฟ่ ที่นี่ก็จัดการโดยคุณบอยและคุณยุ้ยเช่นกัน โดยที่ทางร้านบอกชัดเจนว่า “กาแฟที่อร่อยคือกาแฟที่เราชอบ” ดังนั้นแล้ว กาแฟของทางตาวีฟาร์มนั้นคือกาแฟที่เป็นรสชาติที่เฉพาะเป็นอย่างมากครับ ลองมารับรู้รสนิยมของตาวีฟาร์มสิครับ ซึ่งนอกจากผักจะสด น้ำสลัดทำเองตีเองด้วยตะกร้อมือจนกล้ามขึ้น กาแฟจะเป็นสูตรเฉพาะแล้ว อาหารที่นี่ก็เป็นรสชาติที่เหมาะกับคนรักสุขภาพด้วยนะครับ ทุกๆ อย่างถูกปรุงและคิดมาอย่างดี ใส่ใจรสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบ ไม่ใช้ผงชูรส และปรุงด้วยความใส่ใจโดยคุณยุ้ย ผู้ที่ไม่เคยจับตะหลิวทำอาหารมาก่อนกระทั่งตอนนี้การเป็นแม่ครัวฝีมือดีไปแล้วครับ... โดยทั้งหมดทั้งมวลที่ผมร่ายมานี้ก็เพื่อที่จะให้ทุกๆ ท่านได้รับรู้ที่มาของความสุข ก่อนที่จะเข้ามารับความสุขด้วยตัวเองครับ ตาวีอาร์มตั้งอยู่ที่บ้านหนองจอก สามารถเดินทางเข้ามาได้หลายทาง ทั้งทางรีสอร์ตวาลาตา รวมทั้งเส้นทางเชื่อมระหว่างหมู่บ้านสระน้ำใส – หนองจอก อีกด้วย เมนูที่ผมจะขอแนะนำเป็นการส่งท้ายของที่นี่ก็คือสลัดผักครับ ที่ถ้าไม่สั่งก็จะไม่ตัดผัก ความกรอบ รสสัมผัสและความแน่นของตัวผักนั้นกรอบและมีเสน่ห์มากกว่าผักแช่เย็นเป็นไหนๆ เลยละครับ ทั้งยังมีน้ำสลัดที่ทำเองด้วย เชื่อได้ว่าต้องเป็นหนึ่งในซิกเนอเจอร์ที่จะทำให้ทุกๆ คนอยากกลับมาแน่นอนครับ หรือจะเป็น “กาแฟตาวี” ที่มีรสชาติลุ่มลึก เข้มข้น แต่กลับมีกลิ่นหอมและรสชาติที่ละมุนละไม ต้องลองครับ แล้วจะรู้ว่า รสชาติกาแฟที่ “ตาวีฟาร์มชอบ” นั้นเป็นอย่างไร รวมทั้งยังมีเมนูอื่นๆ น่าสนใจอีกมากมายครับ คาโบนาร่า หมี่ผัดกุ้ง ข้าวผัดแฮม น้ำพริกตาวี หรือเมนูใหม่ๆ ที่ทางคุณยุ้ยสร้างสรรค์ขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ครับ ไม่มีผิดหวังแน่นอน เป็นอย่างไรกันบ้าง...เรื่องราวและที่มาที่แสนอบอุ่นและอบอวลด้วยความรักกับความสุขนั้นพ่อที่จะส่งต่อไปยังทุกๆ คนได้ไหมครับ หากว่ามันพอส่งถึงแล้ววันหยุดนี้ไม่ได้ไปไหน ตาวีฟาร์มเป็นอีกหนึ่งสถานที่ๆ คู่ควรแกการหลบหนีจากอากาศแย่ๆ ในเมืองมาเอนกายพักผ่อนกันนะครับ รับทั้งความสุข จุกๆ ทั้งเมนูเรื่องสุขภาพ พร้อมทั้งความน่าสนใจอื่นๆ ที่ผมไม่อาจจะอธิบายได้...จนกว่าคุณจะเดินเข้ามาสัมผัสกับรอยยิ้มที่แสนมีไมตรีจิตจาก “ตาวีฟาร์ม” เขาใหญ่ยินดีต้อนรับครับ #ติดตามน้องหีบไว้เที่ยวเขาใหญ่ง่ายนิดเดียว เรื่องและภาพโดย "น้องหีบ"