11 เคล็ดลับทำกล้วยบวชชีให้อร่อย ง่ายๆ ต้องทำอะไรบ้าง ยังไงดี อ่านเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ใครๆ ก็ชอบกล้วยบวชชีที่หอมหวานมัน อร่อยชื่นใจใช่ไหมค่ะ? ขนมไทยโบราณที่ดูเหมือนจะทำง่ายๆ แค่กล้วยกับกะทิ แต่ทำไมบางทีเราทำแล้วรสชาติไม่เหมือนที่เคยกินตามร้านอร่อยๆ เลย ตอนนี้ยังสงสัยอยู่ใช่ไหมคะ? ซึ่งความจริงแล้วการจะทำกล้วยบวชชีให้อร่อยเด็ดนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่วัตถุดิบดีๆ เท่านั้นนะคะ แต่ยังต้องมีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ซ่อนอยู่ ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้หรือไม่เคยลองนำไปปรับใช้เลย แล้วเคล็ดลับเหล่านั้นมีอะไรบ้าง ที่จะมาเปลี่ยนกล้วยบวชชีธรรมดาให้กลายเป็นสุดยอดขนมหวานที่ใครได้ชิมก็ต้องติดใจ อยากรู้ไหมคะ? แล้วอะไรทำให้รสชาติของกล้วยบวชชีอร่อยลงตัว การเคี่ยวกะทิที่ต้องได้ที่มีส่วนหรือไม่ หรือมีอะไรอีกที่เรายังไม่รู้และสำคัญมากๆ และถ้าหากคุณผู้อ่านเป็นคนหนึ่งที่รักกล้วยบวชชีและอยากลองทำให้อร่อยขึ้นกว่าเดิมจริงๆ บอกเลยว่ามาถูกทางค่ะ เพราะว่าในบทความนี้มีคำตอบที่ใช้ได้ ที่จะทำให้การทำกล้วยบวชชีครั้งต่อไปทำได้แบบมืออาชีพแน่นอน และถ้าอยากรู้ว่าเคล็ดลับความอร่อยของกล้วยบวชชีมีอะไรบ้าง งั้นเรามาอ่านต่อกันเลยดีกว่าค่ะ! 1. เลือกกล้วยให้เหมาะสม เชื่อไหมว่าแค่การเลือกกล้วยที่เหมาะสม ก็ส่งผลมหาศาลต่อความอร่อยของกล้วยบวชชีของเรา โดยหลายคนอาจคิดว่ากล้วยแบบไหนก็ได้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยค่ะ ถ้าเราเลือกกล้วยที่แก่จัดห่ามๆ หรือกล้วยที่สุกงอมเกินไป ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่น่าประทับใจนัก เพราะกล้วยที่แก่จัดห่ามไปพอมาต้มจะแข็งกระด้าง ไม่นุ่มนวลลิ้น และไม่ซึมซับรสชาติความหอมหวานมันของกะทิและน้ำตาลได้เต็มที่ ในทางตรงกันข้ามถ้ากล้วยสุกงอมมากไป เวลาต้มเนื้อกล้วยจะเละยุ่ยง่าย ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ดูไม่น่ากินและรสชาติก็ไม่ได้อรรถรสความหนึบหนับของเนื้อกล้วยที่ควรจะเป็นค่ะ ดังนั้นกุญแจสำคัญคือเลือกกล้วยน้ำว้าที่สุกพอดีค่ะ ลองสังเกตง่ายๆ คือ กล้วยจะเริ่มมีจุดดำเล็กๆ ประปรายบนเปลือกเหลือง แต่เนื้อสัมผัสยังคงแน่น ไม่นิ่มเละจนเกินไป พอเรานำกล้วยแบบนี้มาต้มในน้ำกะทิ กล้วยจะค่อยๆ ดูดซับความหวานมันเข้าไปในเนื้ออย่างช้าๆ ทำให้ได้กล้วยบวชชีที่เนื้อนุ่มกำลังดี มีความหนึบเล็กน้อย และรสชาติกลมกล่อมเข้าเนื้อทุกคำ ที่สำคัญคือกล้วยที่สุกพอเหมาะจะมีความหวานตามธรรมชาติของตัวเองอยู่แล้ว ช่วยให้เราไม่ต้องใส่น้ำตาลมากเกินไป ทำให้กล้วยบวชชีของเราอร่อยลงตัว ไม่หวานโดด แต่หอมมันอร่อย 2. วิธีหั่นกล้วย บางคนอาจจะหั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ หรือบางคนก็หั่นชิ้นเล็กๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว ขนาดและรูปทรงของการหั่นกล้วย มีส่วนช่วยให้กล้วยบวชชีของเราอร่อยลงตัวได้มากกว่าที่คิดค่ะ ถ้าเราหั่นกล้วยเป็นชิ้นใหญ่เกินไป เวลาต้มเนื้อกล้วยจะสุกไม่ทั่วถึง ทำให้บางส่วนอาจจะยังแข็งกระด้างอยู่ หรือถ้าต้มจนสุกทั่ว ชิ้นส่วนด้านนอกอาจจะเละไปก่อนก็ได้ แถมยังดูดซึมรสชาติความหอมหวานมันของกะทิได้ไม่เต็มที่ ทำให้ความอร่อยเข้าไม่ถึงเนื้อในทุกคำที่ตักขึ้นมาทาน แต่ในทางกลับกันหากหั่นชิ้นเล็กไป กล้วยก็จะเละง่าย ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ดูไม่น่ารับประทาน และเนื้อสัมผัสก็จะหายไป ดังนั้นการหั่นกล้วยเป็นชิ้นขนาดพอดีคำและมีความหนาที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยให้ลองหั่นเป็นท่อนพอดีคำ หรือหั่นเฉียงเพื่อให้ได้พื้นที่ผิวสัมผัสที่มากขึ้น การทำแบบนี้จะช่วยให้กล้วยสามารถดูดซึมน้ำกะทิและน้ำตาลได้อย่างทั่วถึงค่ะ จึงทำให้เนื้อกล้วยนุ่มหนึบกำลังดี ไม่เละ ไม่แข็ง และที่สำคัญคือมีรสชาติหวานมันกลมกล่อมเข้าเนื้อทุกชิ้นที่ตักขึ้นมาทาน จนทำให้กล้วยบวชชีของเราอร่อยฟินในทุกคำนะคะ 3. แช่กล้วยที่หั่นแล้วในน้ำเกลือ บางทีเคล็ดลับความอร่อยของกล้วยบวชชี ก็ไม่ได้อยู่ที่แค่กะทิหอมๆ หรือน้ำตาลอย่างเดียวนะคะ แต่การแช่กล้วยที่หั่นแล้วในน้ำเกลือ ก่อนนำไปต้มก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคเล็กๆ ที่สร้างความแตกต่างได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องแช่น้ำเกลือ? จะทำให้กล้วยเค็มหรือเปล่า? คำตอบคือไม่เลยค่ะ! แต่จริงๆ แล้ว การแช่กล้วยในน้ำเกลือเจือจางๆ แค่ไม่กี่นาทีมีประโยชน์หลักๆ สองข้อ ข้อแรกคือช่วยป้องกันไม่ให้เนื้อกล้วยดำคล้ำ จากการทำปฏิกิริยากับอากาศ ทำให้กล้วยบวชชีของเรามีสีสันสวยน่ากิน ไม่ดูช้ำๆ หมองๆ และข้อที่สองที่สำคัญกว่านั้นคือ น้ำเกลือจะช่วยดึงยางและความฝาดของกล้วยออกมาเล็กน้อย ทำให้เมื่อนำไปต้มในน้ำกะทิ กล้วยจะไม่มีรสชาติฝาดๆ มาเจือปน ทำให้ได้รสชาติที่นุ่มนวล หอมหวานมันของกะทิและน้ำตาลได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญคือเนื้อกล้วยจะดูดซึมรสชาติความอร่อยเข้าไปได้ดีขึ้น ทำให้กล้วยบวชชีที่ได้มีรสชาติกลมกล่อมลงตัว ไม่ใช่แค่หวานอย่างเดียว แต่มีความมันนัว และเนื้อสัมผัสที่ละมุนลิ้นในทุกคำ ที่ทำให้กล้วยบวชชีธรรมดาๆ กลายเป็นของหวานที่อร่อยล้ำขึ้นอีกระดับค่ะ 4. ตัดรสชาติด้วยความเค็มของเกลือ หลายคนอาจคิดว่า รสชาติเค็มของเกลือดูเหมือนจะไม่เข้ากันเลยกับกล้วยบวชชีที่หวานมัน แต่จริงๆ แล้วเกลือคือตัวช่วยสำคัญที่ทำให้กล้วยบวชชีของเราอร่อยกลมกล่อมขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ! ลองนึกภาพกล้วยบวชชีที่หวานเจี๊ยบอย่างเดียว ไม่มีความเค็มมาตัดเลย รสชาติก็จะแบนๆ เลี่ยนๆ กินไปได้ไม่กี่คำก็อาจจะรู้สึกเบื่อ แต่พอลองเติมเกลือลงไปนิดหน่อย ความเค็มจะช่วยดึงรสชาติหวานของกะทิและกล้วยให้เด่นชัดขึ้น และยังช่วยตัดเลี่ยน ทำให้เราได้รสชาติที่ซับซ้อนและอร่อยลงตัวมากขึ้น เหมือนกับการที่เราใส่เกลือในขนมหวานอื่นๆ เพื่อให้รสชาติออกมาสมบูรณ์แบบ ดังนั้นถ้าอยากได้กล้วยบวชชีที่อร่อยเด็ด เคล็ดลับง่ายๆ คืออย่าลืมเติมเกลือลงไปนิดหน่อย รับรองว่ารสชาติจะออกมากลมกล่อมถูกใจแน่นอนค่ะ 5. เคี่ยวกะทิให้พอดี รู้ไหมคะว่า เคล็ดลับความอร่อยของกล้วยบวชชีที่หลายคนมองข้ามไป คือ การเคี่ยวกะทิให้พอดีค่ะ บางคนอาจคิดว่าแค่เทกะทิลงไปแล้วต้มให้เดือดก็พอ แต่จริงๆ แล้ว การเคี่ยวกะทิ คือ หัวใจสำคัญที่จะทำให้กล้วยบวชชีมีรสชาติเข้มข้น หอมมัน และเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่มน่ารับประทาน ถ้าเคี่ยวน้อยไป กะทิก็จะใสโจ๋งเจ๋ง รสชาติจืดชืดไม่กลมกล่อม แต่ถ้าเคี่ยวนานเกินไปจนกะทิแตกมันมากเกินไป ก็จะทำให้ขนมดูไม่น่ากินและอาจมีกลิ่นหืนได้ การเคี่ยวที่พอเหมาะ คือ การที่กะทิเริ่มข้นขึ้นเล็กน้อย มีฟองปุดๆ ขึ้นมาเบาๆ และมีกลิ่นหอมของกะทิลอยมาเตะจมูก แค่นี้กล้วยบวชชีของเราก็จะอร่อยเหาะจนใครๆ ก็ต้องติดใจค่ะ 6. ให้ความสำคัญของการชิมกะทิก่อนใส่กล้วย ความลับของการทำกล้วยบวชชีให้อร่อยเด็ดจนใครๆ ก็ติดใจอยู่ที่ขั้นตอนง่ายๆ แต่สำคัญมากๆ นั่นคือการชิมกะทิก่อนใส่กล้วยลงไปค่ะ หลายคนอาจจะคิดว่าปรุงรสทีเดียวตอนท้ายก็ได้ แต่จริงๆ แล้วการชิมกะทิในตอนแรกสุด จะช่วยให้เราปรับรสชาติได้ตามชอบ ไม่ว่าจะเป็นความหวานจากน้ำตาล ความเค็มที่ช่วยตัดเลี่ยนจากเกลือ หรือความมันนัวของกะทิเอง ถ้าเราชิมก่อน เราจะรู้ได้ทันทีว่าควรเพิ่มอะไร ลดอะไร เพื่อให้ได้รสชาติกะทิที่กลมกล่อม หวาน มัน เค็มกำลังดี พอใส่กล้วยลงไป กล้วยก็จะดูดซับความอร่อยของกะทิเข้าไปเต็มๆ ทำให้กล้วยบวชชีของเรามีรสชาติที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้ายเลยล่ะค่ะ ลองทำตามดูแล้วจะรู้ว่าความอร่อยมันต่างกันจริงๆ นะทุกคน 7. ระวังความหวานหลอกจากความร้อน การทำกล้วยบวชชีให้อร่อยลงตัวนั้น มีข้อควรระวังสำคัญอย่างหนึ่งที่เราอาจมองข้ามไป นั่นคือความหวานหลอกจากความร้อนค่ะ เวลาเราปรุงกะทิร้อนๆ ด้วยน้ำตาล เรามักจะรู้สึกว่ารสชาติยังไม่หวานพอ เลยเผลอเติมน้ำตาลเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ เพราะลิ้นของเราจะรับรสหวานได้ไม่เต็มที่เมื่ออาหารมีความร้อนสูงนะคะ แต่พอขนมเย็นลงเท่านั้นแหละ ความหวานที่ซ่อนอยู่ก็จะปรากฏออกมาเต็มที่ จนอาจจะกลายเป็นกล้วยบวชชีที่หวานเจี๊ยบจนเลี่ยน ดังนั้นเคล็ดลับก็คือให้ค่อยๆ เติมน้ำตาลทีละน้อย ชิมรสชาติเมื่อกะทิเริ่มอุ่น และจินตนาการถึงรสชาติเมื่อขนมเย็นลง เพียงเท่านี้เราก็จะได้กล้วยบวชชีที่หวานกำลังพอดี อร่อยกลมกล่อม ไม่หวานโดดจนเกินไปแล้วค่ะ 8. ใส่ใบเตยเพิ่มความหอม เคล็ดลับง่ายๆ แต่สำคัญมากๆ นั่นคือการใส่ใบเตยเพิ่มความหอมค่ะ หลายคนอาจจะคิดว่าแค่น้ำกะทิกับกล้วยก็อร่อยแล้ว แต่จริงๆ แล้วใบเตยคือพระเอกตัวจริงที่ช่วยยกระดับความอร่อยของกล้วยบวชชีให้หอมกรุ่นชวนกินยิ่งขึ้น เพราะว่ากลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบเตยจะเข้าไปผสมผสานกับความหอมมันของกะทิ ทำให้ขนมของเรามีมิติของกลิ่นที่น่าหลงใหลมากขึ้น ทีไม่ใช่แค่รสชาติที่อร่อย แต่กลิ่นหอมๆ จะช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร ทำให้กล้วยบวชชีธรรมดาๆ กลายเป็นของหวานที่พิเศษและน่าจดจำ ดังนั้นให้ลองใส่ใบเตยแค่ไม่กี่ใบลงไปด้วย ก็สามารถเปลี่ยนรสสัมผัสในการกินได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ 9. ใช้กะทิหางเป็นตัวช่วยเมื่อหวานเกินไป เคยไหมคะที่ทำกล้วยบวชชีแล้วเผลอใส่น้ำตาลเยอะไปจนหวานเจี๊ยบจนเลี่ยน แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะมีวิธีแก้ง่ายๆ ที่จะช่วยให้กล้วยบวชชีกลับมาอร่อยลงตัวอีกครั้ง นั่นคือการใช้หางกะทิช่วยเมื่อหวานเกินไป เนื่องจากหางกะทิคือส่วนของกะทิที่คั้นจากมะพร้าวรอบหลังๆ ซึ่งจะมีความเข้มข้นน้อยกว่าหัวกะทิ การเติมหางกะทิลงไปในกล้วยบวชชีที่หวานเกินไปจะช่วยเจือจางความหวานลง ทำให้รสชาติกลับมากลมกล่อม ไม่หวานโดดจนเกินไป แถมยังช่วยเพิ่มความหอมมันของกะทิให้ขนมของเราอีกด้วย ลองใช้วิธีนี้ดูนะคะ รับรองว่ากล้วยบวชชีจะอร่อยถูกปาก และไม่ต้องทิ้งให้เสียของแน่นอน 10. ระวังอย่าคนกล้วยบ่อยเกินไป หลายคนอาจจะคิดว่ายิ่งคนยิ่งเข้ากันดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว การคนกล้วยในหม้อกะทิร้อนๆ บ่อยๆ จะทำให้เนื้อกล้วยช้ำและเละ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน และดูไม่น่ากินค่ะ นอกจากนี้การคนบ่อยๆ ยังอาจทำให้ยางกล้วยออกมาปนกับน้ำกะทิ ทำให้กะทิขุ่นและเสียรสชาติได้ด้วย ซึ่งวิธีที่ถูกต้องคือให้ใส่กล้วยลงไปในกะทิที่ปรุงรสไว้แล้วอย่างเบามือ แล้วปล่อยให้กล้วยค่อยๆ สุกและดูดซับความหวานของกะทิเข้าไปเอง โดยไม่ต้องคนบ่อยๆ แค่คนเบาๆ หรือใช้ทัพพีกดๆ ให้จมบ้างเป็นครั้งคราวก็พอค่ะ เพียงเท่านี้รับรองว่ากล้วยบวชชีของเราจะออกมาสวยงาม เนื้อนุ่ม ไม่เละ และอร่อยกลมกล่อมแน่นอนค่ะ 11. ให้ความสำคัญกับการพักกล้วย สิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไป เวลาต้องการให้กล้วยบวชชีอร่อย คือการพักกล้วยค่ะ โดยหลังจากที่เราต้มกล้วยในน้ำกะทิและปรุงรสทุกอย่างเสร็จแล้ว แทนที่จะตักเสิร์ฟทันที ลองใหม่แล้วปล่อยให้กล้วยบวชชีได้พักตัวสักครู่ หรือทิ้งไว้ให้อุ่นลงหน่อย เพราะว่าความร้อนที่ลดลงจะช่วยให้กล้วยได้ดูดซึมรสชาติของกะทิที่ปรุงไว้อย่างเต็มที่ จึงทำให้เนื้อกล้วยนุ่มขึ้น ชุ่มฉ่ำขึ้น และรสชาติกลมกล่อมเข้าเนื้อมากกว่าการกินแบบร้อนๆ ทันทีค่ะ เหมือนกับการพักเนื้อหลังจากย่างที่ทำให้เนื้อนุ่มขึ้น กล้วยก็เช่นกัน การพักจะช่วยให้รสชาติทุกอย่างเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ การรอคอยเพียงไม่นานจะเปลี่ยนกล้วยบวชชีธรรมดาให้กลายเป็นของหวานที่อร่อยล้ำอย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ โดยสรุปแล้วการทำกล้วยบวชชีให้อร่อยเด็ดจนใครๆ ก็ติดใจนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของวัตถุดิบ แต่ยังอาศัยเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการหั่นกล้วย การแช่กล้วยในน้ำเกลือ การตัดรสชาติด้วยความเค็มของเกลือ การเคี่ยวกะทิให้พอดี การชิมรสก่อนใส่กล้วย การระวังความหวานหลอกจากความร้อน การใส่ใบเตยเพิ่มความหอม การใช้หางกะทิช่วยปรับเมื่อหวานเกินไป ไปจนถึงการระวังไม่คนกล้วยบ่อยเกินไป และการพักกล้วยให้ได้ที่ ซึ่งเคล็ดลับเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยยกระดับกล้วยบวชชีธรรมดาให้กลายเป็นขนมหวานสุดพิเศษค่ะ และคำถามที่ว่า เราต้องใช้ทุกเคล็ดลับเลยไหม และ จุดพอดีอยู่ตรงไหน คำตอบคือ ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกเคล็ดลับพร้อมกันเสมอไปค่ะ สำคัญคือให้มองให้ออกว่า แต่ละเคล็ดลับมีส่วนช่วยเสริมความอร่อยในมิติที่แตกต่างกันไป ซึ่งจุดพอดีคือการที่เราเข้าใจในหลักการของแต่ละเคล็ดลับ และนำมาปรับใช้ให้เข้ากับวัตถุดิบและรสนิยมของเราเอง เช่น ถ้ากะทิหอมอยู่แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องใส่ใบเตยเพิ่ม หรือถ้ากล้วยหวานจัด อาจลดน้ำตาลลงตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องรอแก้ด้วยหางกะทิ ซึ่งการชิมและปรับแก้ไปทีละขั้นตอนคือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้เราค้นพบจุดพอดีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเรา และสร้างสรรค์กล้วยบวชชีที่อร่อยถูกใจที่สุดได้ในที่สุดค่ะ เพราะผู้เขียนก็ไม่ได้ทำกล้วยบวชชีแบบต้องเปิดตำราทุกเคล็ดลับเป๊ะ แต่อาศัยการเข้าใจว่าต้องใช้ปรับใช้ในแต่ละเทคนิคตอนไหนมากกว่าค่ะ ถ้าตอนนั้นเราไม่มีความจำเป็นต้องใช้เทคนิคบางอย่างเราก็แค่ผ่านไปขั้นตอนต่อไปเลย เพียงเท่านี้การทำกล้วยบวชชีของเราก็มีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ยังอร่อยลงตัวได้แบบเป็นเอกลักษณ์ค่ะ ซึ่งเทคนิคที่ผู้เขียนนำมาใช้แบบไม่เคยลืมเลย จะมีเพียงการพักกล้วยหลังทำแล้วก่อนตักเสิร์ฟค่ะ ซึ่งที่ผ่านมาก็พบว่าทำกล้วยบวชชีทีไร ก็หมดทุกทีนะคะ อย่างไรก็ตามเทคนิคต่างข้างต้นคือจุดที่ทำให้เราได้เกิดการเรียนรู้ และเป็นแนวทางให้เราปรับปรุงฝีมือในการทำของหวานแบบไทยได้ เพราะบางคนอาจจะมืดแปดด้าน ดังนั้นอย่าลืมนำทริคต่างๆ ไปปรับใช้กันค่ะ ด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไป และถ้าต้องการอ่านบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน ให้กดที่รูปโปรไฟล์ใต้ชื่อบทความนี้ได้เลยค่ะ เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปกและออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล อยากได้กะทิกล่อง เลือกยังไงดี มีคุณภาพ น่าซื้อมาทำอาหาร 10 วิธีเก็บกล้วยน้ำว้าไว้กินนานๆ สุกงอมช้า ไม่เละง่าย ทำไงดี วิธีทำบวดฟักทอง กะทิกล่อง สูตรไม่ใช้น้ำปูนใส แบบหวานน้อยพอดี หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !