ไปญี่ปุ่นทั้งทีเพื่อนๆ หลายคนอาจมีลิสต์ร้านอาหารเด็ดๆ ที่ต้องไปโดนกันแบบยาวเหยียด แต่สำหรับเราที่เพิ่งไปเยี่ยมเยือนแดนปลาดิบเป็นครั้งแรกๆ หลายๆ อย่างเลยค่อนข้างทุลักทุเลสักนิด แผนการกินก็ยังไม่ค่อยแม่นมากเท่าไหร่ ในขณะที่กำลังเดินหาร้านอาหารที่กินสะดวก ใช้เวลาในการทานไม่นานในสถานี Tokyo อยู่นั้นก็ไปเจอกับร้าน Sushiro ที่เมื่อมองบรรยากาศหน้าร้านก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นร้านซูชิสายพานเจ้าดังแน่นอน วันนี้เราอยากหยิบยกรีวิวความอร่อย ความแตกต่างระหว่าง Sushiro ประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทยมาฝากเพื่อนๆ กันจ้า รีวิว Sushiro ในประเทศญี่ปุ่น ต่างกับสาขาย่อยในประเทศไทยยังไง? พูดถึงร้าน Sushiro ในประเทศญี่ปุ่นก็มีหลากหลายสาขาเลยละ จากตอนที่เราไปเที่ยวมาหลายๆ จังหวัดก็เจอร้าน Sushiro อยู่แทบทุกที่แถมก็มีคนญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวเข้ามากินแบบไม่ขาดสายเลยด้วย สาขาที่เราไปวันนี้เป็นสาขาในสถานี Tokyo เรื่องความแตกต่างว่ากันที่อย่างแรกเลยคือ การจองโต๊ะ โดยบริเวณหน้าร้านจะมี Tablet ให้เรากดจองโต๊ะ (มีภาษาอังกฤษ) โดยระบบจะให้เราระบุจำนวนคนที่มากินนับทั้งผู้ใหญ่และเด็ก จากนั้นให้เลือกว่าจะนั่งแบบเคาน์เตอร์หรือแบบโต๊ะ เมื่อลงรายละเอียดเสร็จก็กดยืนยันเครื่องจะพรินต์ใบแบบฝั่งขวามือมาให้เพื่อแจ้งคิว ให้เรารอจนกว่าจอหน้าร้านจะเรียกคิวของเราแล้วให้ใช้ QR Code สแกนที่เครื่องสแกนใกล้ๆ กันเพื่อเปิดโต๊ะ หลังจากที่เราสแกนเปิดโต๊ะมาแล้วเครื่องจะพรินต์ใบเสร็จออกมาให้เราอีก 1 ใบ โดยจะแสดงหมายเลขโต๊ะ/เคาน์เตอร์ที่นั่ง และเป็นใบเสร็จเพื่อใช้สำหรับจ่ายเงินด้วยเพราะฉะนั้นห้ามทิ้งใบเสร็จที่เพิ่งได้มา (ถ้าเป็นในรูปคือฝั่งขวามือ) ถัดมาเป็นอีกเรื่องที่ต่างไปจาก Sushiro สาขาประเทศไทย คือ เราจะต้องหยิบแก้วน้ำ ชุดถ้วยชามของเด็ก ตะเกียบ ทิชชูเปียก เกลือ พริกป่น พริกไทย ฯลฯ ไปจากเคาน์เตอร์ด้านหน้าเลยค่ะ ส่วนที่ร้าน Sushiro สาขาไทยพนักงานจะเป็นคนนำของเหล่านี้มาให้เราเมื่อได้โต๊ะ ถ้าใครเดินเลยเข้าไปแล้วหรือที่หยิบไปไม่พอใช้ก็สามารถกลับมาหยิบเพิ่มได้เรื่อยๆ บรรยากาศที่นั่ง สายพานและโต๊ะเลยค่ะ มี Tablet สำหรับสั่งอาหาร มีตะเกียบ ซอสจิ้ม วาซาบิ ขิงดอง ผงชาเขียวและที่กดน้ำร้อน ส่วนนี้เหมือนกันกับสาขาที่ไทย 100% ปล.สาขาญี่ปุ่นไม่มีถ้วยเล็กๆ สำหรับใส่ซอสเหมือนบ้านเรา เข้าใจว่าเขาจิ้มในจานซูชิกันไปเลย (หรือก็จิ้มซอสกันน้อยมากๆ) ส่วนที่ต่างกันเลยก็คือ Sushiro สาขาญี่ปุ่นจะไม่มีระบบสายพานรวมแล้วค่ะ ส่วนราคาของซูชิแต่ละจานก็จะระบุในหน้าจอ Tablet ไม่มีการแยกสีจานเหมือนอย่างในไทย เวลาที่เรากดสั่งไปแล้วเมนูที่เราสั่งจะเสิร์ฟผ่านสายพานชั้นบนซึ่งเป็นสายพานเฉพาะโต๊ะแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นและเมนูพิเศษอื่นๆ staff จะยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะเอง เรื่องราคาด้วยเรทค่าเงินญี่ปุ่นจึงมีส่วนทำให้บางคำราคาถูกกว่าประเทศไทย อย่างช่วงที่เราไปกินมีคำละ 150 เยน ตีเป็นเงินไทยประมาณ 33-35 บาท ในขณะที่ประเทศไทยเริ่มต้น 40 บาท ก็ถือว่าราคาไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไหร่ค่ะ ว่าแล้วก็กดสั่งไปแบบรัวๆ ส่วนตัวเราว่า Sushiro ประเทศญี่ปุ่นจะชนะฝั่งไทยในเรื่องของความสดใหม่ของวัตถุดิบ (ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วเพราะประเทศไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบบางอย่าง) พอเนื้อปลาและ main หลักของจานมีความสดใหม่ รสชาติมันเลยอร่อยมากๆ ส่วนข้าวก็มีรสชาติเค็มๆ เปรี้ยวๆ นิดๆ อร่อยมากๆ แถมยังสามารถเลือกได้ว่าจะเอาข้าวน้อยหรือข้าวแบบปกติซึ่งในประเทศไทยยังเลือกแบบนี้ไม่ได้ คำนี้ให้อารมณ์แบบโรลที่รวมไส้ประมาณ 7 ชนิดเอาไว้ข้างใน มีทั้งเนื้อปลา กุ้ง ไข่หวาน ผักต่างๆ เป็นคำที่อร่อย หอมหวาน สดชื่น ส่วนเมนูราเมนถ้วยนี้รสชาติดีเลยค่ะ เส้นมีความหนึบๆ กำลังดี ซุปกลมกล่อมไม่เค็มเกินไป ซดคล่องคอดีมากๆ ส่วนจานนี้เป็นจานพิเศษเฉลิมฉลองร่วมกับ Kuromi เป็นกุงกังซูชิท้อปด้วยทูน่าบด แซลมอนและกุ้งหวาน วัตถุดิบคือสด ฉ่ำ หวานละมุนลิ้นมากกก จานนี้เป็นพิเศษละ ซูชิเนื้อม้า มาแบบโรลกับแบบท้อปปิ้งเป็นหน้าด้านบน ตอนแรกที่เห็นก็แอบตกใจว่ามีเนื้อม้าด้วยแฮะ พอสั่งมาก็กลัวว่าจะกินยาก เนื้อเหนียว เนื้อคาวมากไหม แต่พอลองชิมปรากฎว่ากินง่ายกว่าที่คิดค่ะ เนื้อม้าเขาจะมีไขมันแทรกบางๆ ตลอดชิ้นทำให้ไม่เหนียว มีกลิ่นเข้มๆ นิดหน่อยแต่ไม่เหม็น ไม่คาว โดยรวมแล้วก็คือดีเลย ของหวานดังโงะซอสมิทาราชิ ตัวดังโงะอร่อย นุ่ม หนึบ หวานๆ เค็มๆ กำลังดี (ส่วนตัวคิดว่ารสชาติดีเหมือนกันกับสาขาที่ไทย) เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลา และเราสั่งกาแฟร้อนมาด้วยอีกแก้ว เพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารจนอิ่มแล้วก็ถึงเวลาเช็กบิล เรื่องนี้ก็ต่างกับที่ไทยเหมือนกันค่ะโดยเราสามารถสรุปรายการเพื่อเช็กบิลได้ด้วยตนเองผ่านทาง Tablet ให้กดสรุปรายการจากนั้นเช็กรายละเอียดรายการอาหารว่าครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ มีขาด/เกินหรือเปล่า ในกรณีที่ได้อาหารไม่ครบให้เรากดปุ่มเรียก staff แต่ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยให้กด Confirm เพื่อเช็กบิลได้เลย มื้อนี้จบรวมๆ ที่ 3,540 เยน ตกอยู่ที่เกือบ 800 บาทไทย ซึ่งก็ถือว่าราคาปกติเลยค่ะเพราะปกติเวลาเราไปกินร้าน Sushiro ที่ไทย 2 คนก็จะกินครั้งละประมาณ 1,000 ต้นๆ พอเรากดเช็กบิลเสร็จก็สามารถนำใบเสร็จที่ได้รับมาตั้งแต่ตอนแรกมาสแกนที่เครื่องจ่ายเงินที่ฝั่งทางออกร้านได้เลย ส่วนการจ่ายเงินเขาก็รับหมดทั้งเงินสด บัตรเครดิต บัตร Travel card พอจ่ายเสร็จ รับใบเสร็จก็เดินออกจากร้านได้เลย เรียกได้ว่าเป็นการกิน Sushiro ของประเทศต้นตำรับที่อิ่ม อร่อย สะดวกดีสุดๆ ไปเลย สรุปความแตกต่างระหว่าง Sushiro ที่ญี่ปุ่นและสาขาประเทศไทย กดจองโต๊ะด้วยตนเองที่หน้าร้าน และสแกน QR Code เปิดโต๊ะด้วยตัวเอง หยิบถ้วย แก้ว ทิชชูเปียก เกลือ พริกไทย ฯลฯ ที่บริเวณเคาน์เตอร์หน้าร้าน ไม่มีซูชิสายพานแบบรวม ถ้าอยากกินคำไหนก็ให้กดสั่งมาเองโดยจะเสิร์ฟผ่านสายพานแยกเฉพาะโต๊ะซึ่งอยู่ชั้นบน ส่วนเมนูพิเศษอื่นๆ staff จะยกมาเสิร์ฟเอง ไม่มีการแบ่งราคาตามสีของจาน กินเสร็จแล้ว สามารถสรุปรายการอาหารและจ่ายเงินด้วยตัวเองที่เครื่องจ่ายเงินหน้าร้าน ภาพปก โดย ผู้เขียน ภาพในเนื้อหาทั้งหมด โดย ผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !