เมนูในวันนี้ ที่เราอยากมานำเสนอให้ทุกคนได้ลองทำกัน รสชาติกลมกล่อม น้ำซุปกระดูกหมู กับเครื่องต้มจืดที่หลากหลาย ชื่อเมนูนี้ก็คือ “ต้มจืดกระดูกหมู” ทำตามได้ไม่ยาก แต่ก่อนอื่นต้องเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ ให้พร้อมก่อนนะคะ และต้องมีสติในการทำค่ะ เดี๋ยวจะไม่อร่อย 😅 วัตถุดิบที่ใช้ กระดูกหมู 300 กรัม ราคา 59 บาท ชุดเครื่องแกงจืด ประกอบด้วย ดอกไม้จีน ฟองเต้าหู้ เห็ดหอมแห้ง เห็ดหูหนูสีน้ำตาลแห้ง วุ้นเส้น สาหร่ายทะเลแห้ง 1 ชุด ราคา 30 บาท หัวหอมและกระเทียม 4-5 หัว เครื่องปรุงรส (ซีอิ๋วเห็ดหอมตราเด็กสมบูรณ์) ผักขึ่นฉ่าย 1-2 ต้น ขั้นตอนในการทำ ตั้งน้ำให้เดือด ใส่น้ำประมาณ 2.5 ลิตร ในระหว่างนี้ให้นำชุดเครื่องแกงจืดไปล้างน้ำสะอาด แช่น้ำทิ้งไว้ 15-20 นาที หรือจนกว่าส่วนประกอบต่าง ๆ จะนิ่ม ก่อนนำไปปรุงอาหาร (ปรากฏว่าเราลืมแช่น้ำค่ะ หิวมากไปหน่อย เลยรีบทำกับข้าวให้สุกเร็ว ๆ) สติเลยหายไปหน่อย แต่รสชาติก็ยังโอเคนะ 🤣 ขั้นตอนต่อไปปอกหัวหอมและกระเทียม ล้างทำความสะอาด ทุบแล้วหั่นทิ้งไว้ 5-10 นาที ให้สารอัลลิซินในกระเทียมเกิดขึ้นก่อน ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการทุบ หั่น ตัด บด หรือเคี้ยว เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างน้ำตาลกลูโคสจากตับ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดลดลง ดังนั้นจึงควรทุบ หั่น กระเทียมทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีก่อนทำอาหาร ซึ่งสารอัลลิซินมีคุณสมบัติทนความร้อนได้ดีจึงไม่สูญสลายไป และทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด (ในระหว่างที่รอให้ล้างผักขึ้นฉ่าย หั่นทิ้งไว้เลย) เมื่อน้ำเดือดแล้วใส่หัวหอมและกระเทียมที่ทุบแล้วลงในหม้อ ใส่ซีอิ๊วลงไป ก็จะได้น้ำซุปสีทอง (โดยที่ไม่ต้องใส่ซุปก้อน เพราะในซุปก้อนจะมีโมโนโซเดียมกลูตาเมตเป็นส่วนผสมอยู่ หลีกเลี่ยงได้ก็ควรจะพยายามหลีกเลี่ยง เพื่อสุขภาพที่ดี) ใส่ชุดเครื่องแกงจืดลงไปเลยค่ะ แต่ยังไม่ต้องใส่ทั้งหมดนะคะ วุ้นเส้นให้ใส่หลังสุด เพราะมันจะอืดและพองตัว (หากไม่ชอบกินก็ไม่ต้องใส่นะคะ) เมื่อน้ำซุปเดือดอีกครั้ง ใส่กระดูกหมูลงไปเลยค่ะ ตุ๋นทิ้งไว้ 40-50 นาที ให้เนื้อกระดูกหมูนิ่มนิดนึงและน้ำซุปกลมกล่อม จากนั้นใส่ผักขึ้นฉ่ายลงไปเพื่อเพิ่มกลิ่นรส เป็นอันเสร็จเรียบร้อยเมนูนี้ “ต้มจืดกระดูกหมูใส่ดอกไม้จีนและเห็ด” ลองทำกันดูนะคะ อร่อยจริง สำหรับเราอาหารที่ปรุงเอง รสชาติถูกปากที่สุดแล้ว แถมยังควบคุมส่วนประกอบเองได้ด้วยถือว่าเมนูนี้ดีต่อสุขภาพค่ะ เพราะปราศจากโมโนโซเดียมกลูตาเมตหรือผงชูรส แต่สิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างคือโซเดียมค่ะ ซึ่งปกติมีการจำกัดการรับประทานโซเดียมในแต่ละวันไม่ควรเกิน 1,500 มิลลิกรัม วิธีการในการลดโซเดียมได้ดีที่สุด คือ การทำอาหารกินเอง ควบคุมความเค็ม ปรุงอาหารโดยใช้โซเดียมมื้อละไม่เกิน 500 มิลลิกรัม เพื่อสุขภาพที่ดีของเรานะคะ (Credit: สาขาพิษวิทยาและโภชนาการเพื่ออาหารปลอดภัย สถาบันโภชนาการ มหาลัยมหิดล) “ภาพประกอบทั้งหมดโดยนักเขียน”