9 ทริคเลือกข้าวโพดฝักอ่อน ซื้อแบบไหนดี สดใหม่ และหวานอร่อย มารู้กันเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล หลายคนชอบซื้อข้าวโพดฝักอ่อนเพราะนำไปทำอาหารได้หลากหลาย ทั้งผัด แกง ต้ม หรือต้มจิ้มน้ำพริก แต่สิ่งที่หลายคนมองข้าม คือ ข้าวโพดฝักอ่อนที่วางขายในตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ต มีความเสี่ยงด้านสุขอนามัยมากกว่าที่คิด เพราะเป็นผักที่มีผิวสัมผัสโดยตรงกับสิ่งแวดล้อม ฝุ่นละออง และความชื้นรอบข้าง หากจัดเก็บไม่เหมาะสม และความชื้นที่สะสมอาจทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ง่าย ยิ่งในตลาดเปิดที่อากาศร้อนชื้น การเสื่อมสภาพของข้าวโพดจะเกิดเร็วขึ้น และส่งผลให้เนื้อสูญเสียน้ำและรสชาติได้ค่ะ และอีกจุดที่คนทั่วไปมักมองไม่ออก คือ สัญญาณเตือนเล็กๆ น้อยๆ ที่บอกว่าข้าวโพดนั้นเริ่มเสื่อมคุณภาพ เช่น ปลายฝักที่แห้ง ขั้วที่เปลี่ยนสี หรือรอยแมลงกัดเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ตามด้านข้าง ที่บางครั้งข้าวโพดอาจยังดูปกติภายนอก แต่ด้านในเริ่มมีจุดเน่าเสีย หรือสูญเสียความหวานจนเมื่อปรุงอาหารแล้วรสชาติไม่อร่อยเหมือนเดิม อีกทั้งหลายคนมักซื้อในปริมาณมากโดยไม่ได้วางแผนใช้ จึงทำให้ต้องเก็บไว้นานและเสี่ยงต่อการเสียก่อนนำมาปรุง ดังนั้นการเรียนรู้เทคนิคต่างๆ ที่สำคัญในการเลือกซื้อจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นตามมาค่ะ และต่อไปนี้คือแนวทางสำหรับเลือกซื้อนะคะ 1. เลือกฝักที่มีสีเหลืองอ่อนสม่ำเสมอ การเลือกข้าวโพดฝักอ่อนที่ดีนั้น ต้องเริ่มต้นด้วยการสังเกตสีของฝักให้ละเอียดค่ะ ซึ่ง สีเหลืองอ่อนสม่ำเสมอตลอดทั้งฝัก คือ สัญญาณที่บอกว่าข้าวโพดถูกเก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่อ่อนจนรสชาติจืด และไม่แก่จนเนื้อแข็งหรือเส้นใยหยาบ สีเหลืองนวลยังบอกถึงความสด เพราะหากเก็บไว้นานสีจะเริ่มเข้มขึ้นหรือกลายเป็นส้มอมน้ำตาล ที่ในบางครั้งอาจเห็นรอยคล้ำหรือจุดสีน้ำตาลที่ปลายฝัก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว การสังเกตให้แน่ใจว่าสีสม่ำเสมอ ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเมื่อปรุงอาหารแล้วจะได้รสหวานกรอบเต็มที่ค่ะ นอกจากนี้การมองหาฝักที่มีสีเหลืองอ่อนสม่ำเสมอ ยังช่วยให้หน้าตาอาหารดูสวยงาม เมื่อนำไปผัด แกง หรือทำสลัด สีของข้าวโพดจะดูสดน่ารับประทาน ทำให้จานอาหารดูน่ากินมากขึ้น ยิ่งถ้าเลือกฝักที่ใกล้เคียงกันทั้งขนาดและสี ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยิ่งดี เพราะทุกชิ้นจะสุกพร้อมกัน ไม่ทำให้บางฝักนิ่มหรือแข็งเกินไป สีที่สม่ำเสมอยังบอกถึงความสมบูรณ์ของฝักตั้งแต่ปลายจรดโคน ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีฝักที่ด้านในมีเมล็ดลีบหรือเนื้อพรุน เราจึงได้ทั้งความอร่อย ความสวยงาม และความคุ้มค่าในคราวเดียวค่ะ 2. สังเกตปลายฝักและขั้วให้ดี รู้ไหมคะว่าปลายฝักข้าวโพดอ่อนที่สดใหม่ควรปิดสนิท ไม่แตก ไม่แห้ง และไม่เหี่ยว เพราะปลายฝักที่ยังชุ่มชื้นแสดงว่าข้าวโพดเพิ่งเก็บมาไม่นาน ส่วนขั้วฝักก็ควรมีสีอ่อน ไม่เป็นสีน้ำตาลเข้ม และไม่มีกลิ่นหมักหรือกลิ่นเน่า หากขั้วเริ่มแห้งกรอบหรือแตก แสดงว่าฝักถูกเก็บไว้นาน และความชุ่มน้ำในเนื้อข้าวโพดก็จะลดลง ทำให้เมื่อนำไปปรุงอาหาร เนื้อจะไม่นุ่มฉ่ำอย่างที่ควรจะเป็น การสังเกตทั้งปลายและขั้วจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้เราได้ฝักที่มีคุณภาพค่ะ ซึ่งการดูปลายฝักและขั้วยังช่วยป้องกันการปนเปื้อนที่อาจมองไม่เห็น ถ้าขั้วมีรอยดำหรือปลายฝักมีรอยช้ำ มักจะเป็นจุดที่ความชื้นสะสม ที่จะทำให้เกิดเชื้อราหรือได้ง่าย ซึ่งอาจทำให้ข้าวโพดเสียเร็วขึ้น การเลือกฝักที่ขั้วยังเขียวอ่อนและแน่น จะช่วยให้เราเก็บในตู้เย็นได้อีก 1-2 วันโดยยังคงความหวานกรอบเดิมค่ะ และเหมาะสำหรับคนที่ซื้อเผื่อทำอาหารในวันถัดไป และยังมั่นใจได้ว่าเมื่อนำไปผัด ต้ม หรือทำสลัด สีและรสชาติจะสดเหมือนเพิ่งเก็บจากแปลงนะคะ 3. ใช้มือบีบฝักเบาๆ หลายคนยังมองไม่ออกว่า วิธีที่ง่ายและได้ผลดีในการทดสอบความสดของข้าวโพดฝักอ่อน คือ การใช้มือบีบฝักเบาๆ เพื่อสัมผัสความแน่นของเนื้อข้างใน ปกติฝักที่สดใหม่จะให้ความรู้สึกแน่นแต่ไม่แข็งเกินไป เนื้อด้านในยังมีความชุ่มฉ่ำ และเมื่อกดจะเด้งเล็กน้อย จะไม่ยวบจนรู้สึกว่านิ่ม ถ้าฝักนิ่มเกินไปมักเป็นสัญญาณว่าเริ่มเน่าเสีย หรือมีอายุเก็บนานจนเนื้อสูญเสียความหวาน ในทางกลับกันถ้าฝักแข็งมากจนกดไม่ยุบ แสดงว่าข้าวโพดแก่แล้ว เนื้อจะมีเส้นใยหยาบและรสชาติจะฝาด ไม่หวานกรอบเหมือนที่ต้องการค่ะ การบีบจึงเป็นการตรวจสอบคุณภาพอย่างรวดเร็วที่ใช้ได้แม้ในตลาดสดหรือซูเปอร์มาร์เก็ต ที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าฝักที่เลือกมีเนื้อแน่นกรอบ เมื่อนำไปปรุงอาหารจะสุกกำลังดี ไม่เหนียวหรือเละ นอกจากนี้การบีบเบาๆ ยังช่วยให้เรารู้สึกได้ถึงความชื้นภายใน ถ้าฝักยังมีความเย็นและชื้นเล็กน้อยแสดงว่าถูกเก็บรักษาอย่างดี วิธีนี้ง่าย สะดวก และไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ ทำให้เหมาะสำหรับพ่อบ้านแม่บ้านที่อยากเลือกวัตถุดิบสดใหม่อย่างมั่นใจค่ะ 4. ดมกลิ่นให้มั่นใจ กลิ่นเป็นตัวบอกความสดของข้าวโพดฝักอ่อนได้อย่างชัดเจนค่ะ โดยข้าวโพดที่สดใหม่มักจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ แบบหวานธรรมชาติและสะอาด ไม่มีความเปรี้ยวหรือกลิ่นอับชื้นปนอยู่ ถ้าดมแล้วพบกลิ่นหมัก กลิ่นบูด หรือกลิ่นที่ทำให้รู้สึกไม่สบายจมูก ควรหลีกเลี่ยงทันที เพราะนั่นเป็นสัญญาณว่าเนื้อข้าวโพดเริ่มเสื่อมสภาพหรือมีจุลินทรีย์เติบโตอยู่ การดมกลิ่นจึงเป็นวิธีตรวจสอบที่ง่ายและแม่นยำ ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็ช่วยลดความเสี่ยงในการซื้อวัตถุดิบที่เสีย อีกทั้งการดมกลิ่นยังช่วยให้เรามั่นใจได้ว่า ข้าวโพดถูกเก็บรักษาในสภาพแวดล้อมที่ถูกสุขลักษณะ หากร้านค้าดูแลความสะอาดและมีการหมุนเวียนสินค้าดี กลิ่นของข้าวโพดจะคงความสดตามธรรมชาติได้นานขึ้น เหมาะสำหรับการนำไปปรุงอาหารที่ต้องการรสหวานกรอบ เช่น ผัดผัก แกงส้ม หรือใส่ในสลัด กลิ่นหอมจะช่วยทำให้รสชาติของจานอาหารดีขึ้น และยังเป็นตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้ว่าเราได้เลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยต่อสุขอนามัยของทุกคนในบ้านค่ะ 5. เลือกขนาดที่ใกล้เคียงกัน คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การเลือกข้าวโพดฝักอ่อนที่มีขนาดใกล้เคียงกัน จะช่วยให้การปรุงอาหารง่ายและสุกสม่ำเสมอ ฝักที่มีความยาวและความหนาใกล้กันจะทำให้เวลาในการต้ม ผัด หรืออบเท่ากันทุกชิ้น ไม่ทำให้บางฝักสุกเกินจนเนื้อเละ ในขณะที่บางฝักยังดิบอยู่ ขนาดที่ใกล้กันยังช่วยให้จานอาหารดูสวยงามเมื่อเสิร์ฟ เพราะฝักมีความเป็นระเบียบและน่ารับประทานมากขึ้น เหมาะสำหรับเมนูที่ต้องการความสวยงาม เช่น สลัดหรืออาหารจัดเลี้ยง นอกจากนี้การเลือกขนาดใกล้เคียงกัน ยังช่วยให้เราประเมินปริมาณที่ต้องใช้ได้แม่นยำกว่า เพราะทุกฝักมีปริมาณเนื้อใกล้เคียงกัน ทำให้คำนวณสัดส่วนเครื่องปรุงง่าย ไม่ต้องกังวลว่ารสชาติจะเพี้ยนเพราะใส่มากหรือน้อยเกินไป ขนาดที่เหมาะสมมักอยู่ที่กลางๆ ไม่เล็กจนเกินไป ซึ่งมักจะจืด และไม่ใหญ่จนเกินไป ซึ่งจะเริ่มแข็ง การเลือกแบบนี้จึงได้ทั้งความอร่อย ความสวยงาม และความคุ้มค่าในเวลาเดียวกันค่ะ 6. เลือกฝักที่เปลือกหุ้มยังสด ข้าวโพดฝักอ่อนที่ยังมีเปลือกหุ้มนั้น เราควรเลือกเปลือกที่มีสีเขียวอ่อนหรือเขียวสด ชุ่มชื้นเล็กน้อย และแนบสนิทกับฝักด้านในค่ะ โดยเปลือกไม่ควรมีรอยแห้งกรอบหรือเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เพราะนั่นเป็นสัญญาณว่าถูกเก็บไว้นานหรือสูญเสียน้ำมากแล้ว การที่เปลือกยังสดแสดงว่าฝักยังคงความชุ่มฉ่ำภายใน ทำให้เมื่อปรุงอาหารรสชาติจะหวานกรอบเต็มที่ อีกทั้งเปลือกที่ปิดสนิทยังช่วยป้องกันฝุ่น แมลง และสิ่งสกปรกต่างๆ ที่อาจปนเปื้อนในระหว่างขนส่งหรือวางขาย การเลือกฝักที่เปลือกยังสดและแน่น ยังช่วยยืดอายุการเก็บรักษาเมื่อกลับถึงบ้าน หากเรายังไม่ใช้ทันทีสามารถเก็บใส่ถุงพลาสติก หรือกล่องที่ปิดสนิทแล้วแช่ในช่องผักของตู้เย็น จะช่วยให้ข้าวโพดยังคงความกรอบได้นานอีก 1-2 วัน เปลือกที่ดีจะทำหน้าที่เหมือนเกราะธรรมชาติ ป้องกันไม่ให้เนื้อในสูญเสียน้ำเร็ว จึงเหมาะมากสำหรับคนที่วางแผนทำอาหารล่วงหน้าและอยากรักษาคุณภาพวัตถุดิบให้ดีที่สุดค่ะ 7. หลีกเลี่ยงฝักที่มีรอยแมลงกัด รอยแมลงกัดเป็นสัญญาณสำคัญที่บอกว่า ข้าวโพดฝักอ่อนอาจมีการปนเปื้อนหรือเสียคุณภาพ ฝักที่มีรูเล็กๆ รอยเจาะ หรือร่องรอยกัดแทะ มักเป็นจุดที่แมลงเข้ามาวางไข่หรือกินเนื้อข้าวโพดภายในค่ะ ทำให้เนื้อบริเวณนั้นสูญเสียน้ำและช้ำง่าย หากนำมาปรุงอาหารอาจมีกลิ่นหมักหรือรสชาติผิดปกติ นอกจากนี้รอยแมลงกัดยังเป็นทางให้เชื้อราเข้าสู่เนื้อฝักได้ง่าย และจะทำให้ข้าวโพดเสียเร็วขึ้นนะคะ การสังเกตให้ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญค่ะ โดยก่อนซื้อควรหมุนฝักดูรอบๆ ให้ครบทุกด้าน ไม่ควรเลือกฝักที่มีร่องรอยกัดแม้เพียงเล็กน้อย เพราะอาจมองไม่เห็นปัญหาที่อยู่ลึกด้านใน เมื่อเก็บไว้ในตู้เย็นฝักที่มีรอยแมลงจะเน่าเสียเร็วกว่าฝักที่สมบูรณ์ ทำให้เราต้องทิ้งและสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น การเลือกฝักที่ผิวเรียบ ไม่มีรูหรือรอยกัด จะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าจะได้ข้าวโพดที่สะอาด ปลอดภัย และเก็บได้นานกว่าค่ะ 8. ซื้อจากร้านที่มีการหมุนเวียนสินค้า การเลือกร้านค้าที่มีการหมุนเวียนสินค้าบ่อย เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเราจะได้ข้าวโพดฝักอ่อนที่สดใหม่ค่ะ เพราะร้านค้าที่ขายดีมักมีการเติมของเข้ามาใหม่ทุกวันหรือทุกเช้า ทำให้ข้าวโพดที่วางขายไม่ค้างนานจนเสียคุณภาพ การสังเกตง่ายๆ คือ ดูว่ามีลูกค้ามาซื้ออย่างต่อเนื่อง สินค้าในตะกร้าหรือชั้นวางลดลงเรื่อยๆ หรือไม่ ร้านที่คอยจัดเรียงสินค้าใหม่และคัดของเสียออกบ่อย แสดงถึงการดูแลที่ดีและใส่ใจเรื่องความสดของผักนะคะ นอกจากนี้ร้านที่มีการหมุนเวียนสินค้าดี มักจะเก็บรักษาข้าวโพดฝักอ่อนได้ถูกวิธี เช่น การพรมน้ำให้คงความชื้น หรือแช่ในตู้เย็นอุณหภูมิที่เหมาะสม วิธีนี้ช่วยให้ฝักไม่เหี่ยวและคงรสชาติหวานกรอบได้นาน หากเลือกซื้อจากร้านประจำที่มีคุณภาพ เราจะมั่นใจได้ว่าไม่ต้องกังวลเรื่องข้าวโพดค้างคืนจนเนื้อแข็ง และยังลดปัญหาการต้องคัดทิ้งเมื่อกลับถึงบ้าน ทำให้ประหยัดทั้งเวลาและเงินในระยะยาวค่ะ 9. ซื้อในปริมาณที่พอใช้ รู้ไหมคะว่า การซื้อข้าวโพดฝักอ่อนในปริมาณที่พอดีต่อการใช้ เป็นอีกเคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยให้เราได้กินข้าวโพดที่สดใหม่ทุกครั้งที่ทำอาหารค่ะ ข้าวโพดฝักอ่อนแม้จะเก็บในตู้เย็นได้ 2-3 วัน แต่ยิ่งเก็บไว้นานความหวานและความกรอบจะค่อยๆ ลดลง และเสี่ยงที่จะเหี่ยวหรือขึ้นราเร็วขึ้น การซื้อทีละมากเกินไปทำให้ต้องเก็บค้างไว้นานโดยไม่ตั้งใจ ที่ในบางครั้งอาจต้องทิ้งเพราะเน่าเสียก่อนที่จะได้ใช้ หากเราวางแผนเมนูอาหารล่วงหน้าก่อนออกไปซื้อ จะช่วยให้คำนวณปริมาณที่ต้องใช้ต่อมื้อได้แม่นยำ ซื้อเพียงเท่าที่ทำอาหารใน 1-2 วัน ก็เพียงพอที่จะคงคุณภาพและความอร่อยสูงสุด วิธีนี้ไม่เพียงช่วยลดปัญหาของเหลือทิ้งและประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังทำให้ทุกมื้ออาหารที่ปรุงออกมามีรสหวานกรอบเต็มที่ เพราะใช้ข้าวโพดที่สดใหม่อยู่เสมอค่ะ จะเห็นได้ว่าการเลือกข้าวโพดฝักอ่อนที่ดีไม่ใช่เรื่องยาก แม้คนที่ไม่คุ้นเคยก็ทำได้ค่ะ เพียงเริ่มจากใช้สายตาสังเกตสีของฝักให้เหลืองอ่อนหรือเหลืองนวลสม่ำเสมอ ไม่ควรมีจุดคล้ำหรือสีส้มเข้ม เพราะแปลว่าเก็บไว้นานหรือใกล้เสีย จากนั้นดูปลายฝักว่าปิดสนิท ขั้วยังเขียวอ่อน ไม่เหี่ยวหรือแห้งกรอบ แล้วลองบีบฝักเบาๆ ถ้ารู้สึกแน่นเด้งเล็กน้อยกำลังดี ไม่แข็งจนกดไม่ลงและไม่นิ่มจนยวบ สุดท้ายดมกลิ่นให้มั่นใจว่าหอมธรรมชาติ ไม่มีกลิ่นหมักหรือกลิ่นบูด วิธีง่ายๆ เหล่านี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีแต่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะได้ฝักที่สดและมีคุณภาพ ถ้าไม่ถนัดเลือกให้โฟกัสที่สัญญาณง่ายๆ คือขนาดและความสะอาด เพราะฝักที่ขนาดใกล้เคียงกันจะทำให้เวลาปรุงสุกเท่ากัน ไม่ทำให้บางฝักเละหรือยังดิบ และถ้ายังมีเปลือกหุ้มเขียวสดก็เลือกได้เลย เพราะเปลือกช่วยปกป้องเนื้อข้างในและยืดอายุความสดได้นานกว่าค่ะ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีรอยแมลงกัดหรือรูเล็กๆ เพราะนั่นคือจุดเสี่ยงของการปนเปื้อนและทำให้เสียเร็ว อีกทั้งควรเลือกร้านที่มีลูกค้าซื้อบ่อย สังเกตชั้นวางที่มีการเติมของใหม่อยู่เสมอ ร้านที่สะอาดและมีการหมุนเวียนสินค้าดีจะช่วยให้ได้ฝักที่เก็บมาไม่นาน สุดท้ายวางแผนการซื้อให้เหมาะกับการใช้งานค่ะ ซื้อในปริมาณพอดีสำหรับทำอาหารใน 1-2 วัน เพื่อคงความหวานกรอบสูงสุดและลดปัญหาการทิ้งของที่เสียก่อนใช้ ถ้าเพิ่งเริ่มลองเลือกข้าวโพดฝักอ่อน อาจซื้อจำนวนน้อยเพื่อนำไปทดลองปรุงก่อน แล้วจดจำลักษณะฝักที่ชอบ ซึ่งคราวต่อไปเราก็เลือกได้ง่ายขึ้นนะคะ และจุดตัดสินใจที่ง่ายๆ ในการจำ คือ ดูสี – ดูปลายฝัก – บีบเบา – ดมกลิ่น – ตรวจรอย ถ้าผ่านครบทุกขั้นตอนก็เลือกใส่ตะกร้าได้เลยค่ะ และสำหรับผู้เขียนนั้นมักได้เลือกซื้อข้าวโพดฝักอ่อนจากตลาดใกล้บ้านค่ะ โดยผู้เขียนมักซื้อจากร้านค้าที่ไว้ใจได้ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกรที่ปลูกได้มาขายเอง หรือแม่ค้าในพื้นที่ที่รับสินค้าจากในชุมชนมาขายต่อ ซึ่งในแต่ละครั้งผู้เขียนจะซื้อไม่เกิน 2 ถุงค่ะ โดยเป็นถุงในราคาขาย 10 บาท และเมื่อมานำมาบ้านแล้ว หลายครั้งผู้เขียนจะนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารในวันนั้นเลย และน้อยมากที่จะเก็บไว้ข้ามคืนและนำมาปรุงอาหารในวันถัดไปค่ะ อย่างไรก็ตามก่อนเลือกซื้อผู้เขียนชอบบีบดูที่ฝักข้าวโพดก่อนค่ะ ดูสีและดูลักษณะของเปลือกหุ้ม กับตรวจสอบหารอยแมลงกัดนะคะ โดยแนวทางทั้งหมดข้างต้นคุณผู้อ่านเองก็สามารถนำไปใช้ได้เหมือนกันค่ะ ก็อย่าลืมไปประยุกต์ใช้กันด้วยนะคะ เพราะอาหารเป็นสื่อของความเจ็บป่วยในคนเราได้ ดังนั้นซื้อข้าวโพดฝักอ่อนก็ต้องเลือกเสมอ และด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากคุณผู้อ่านชื่นชอบเนื้อหาแนวนี้ อย่าลืมกดติดตามหรือบันทึกโปรไฟล์ไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดข้อมูลใหม่ๆ ในบทความถัดไป หากสนใจอ่านบทความทั้งหมดของผู้เขียน ก็สามารถกดเข้าไปดูได้จากโปรไฟล์เช่นกันค่ะ #ข้าวโพดฝักอ่อน #วิธีเลือกผักสด #ความปลอดภัยของอาหาร #FoodSafety เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปกและออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 9 วิธีเลือกบวบงู ลวกจิ้มกับน้ำพริก แบบไหนดี เก็บมาสดใหม่ 9 ชนิดวัตถดิบทำอาหาร ที่สะดวกเก็บรักษา ในช่วงหน้าฝน 9 ลำดับหยิบของในซุปเปอร์มาร์เก็ต ป้องกันเสี่ยงอาหารปนเปื้อน หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !