9 วิธีเลือกผักผลไม้ปลอดสารพิษ ในตลาดสด ทำยังไงดี ดูอะไรบ้าง อ่านต่อเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล รู้ไหมคะว่าการเลือกซื้อผักผลไม้ที่ตลาดสดนั้น ไม่ใช่แค่การหยิบของที่ดูสวยหรือราคาถูกที่สุด แต่เป็นด่านแรกของการป้องกันสารเคมีเข้าสู่ร่างกายเราโดยตรงค่ะ เพราะผักผลไม้ที่ดูสวยสมบูรณ์ที่เราเห็น อาจไม่ได้หมายความว่าปลอดภัยเสมอไป ในบางครั้งความสวยนั้นก็เกิดจากการใช้สารเคมีเร่งโตหรือการเคลือบผิวเพื่อยืดอายุการเก็บก็ได้ ถ้าเราซื้อมาจะทำให้เรารับสารตกค้างโดยไม่รู้ตัว การใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกซื้อ จึงเป็นการสร้างความมั่นใจให้มื้ออาหารทุกมื้อของเราดีต่อร่างกายและช่วยลดความเสี่ยงในระยะยาวค่ะ โดยหลายคนยังไม่รู้ว่า การแยกผักผลไม้ปลอดสารพิษออกจากของทั่วไป ทำได้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่เราฝึกสังเกตสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้เขียนจะได้บอกต่อไว้ในบทความนี้ ซึ่งเทคนิคหลายข้อหากเรานำไปใช้เป็นประจำก็จะกลายเป็นนิสัยที่ดี ที่ช่วยให้เราเลือกของสดใหม่ปลอดภัยกลับบ้านได้ทุกครั้ง และทำให้ครัวของเรากลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและสร้างสุขอนามัยที่ดีให้กับทุกคนในครอบครัวค่ะ และต่อไปนี้คือเคล็ดลับในการเลือกซื้อนะคะ 1. เริ่มจากการมองหาสีสันที่เป็นธรรมชาติ ขั้นตอนแรกของการเลือกผักผลไม้ปลอดสารพิษ คือ การสังเกตสีสันอย่างละเอียดค่ะ ซึ่งปกติผักใบเขียวที่ปลอดภัยควรมีสีเขียวแบบธรรมชาติ ไม่เขียวเข้มจัดจนดูผิดปกติ และไม่เงาวาวราวกับมีสารเคลือบผิว ผลไม้ก็ควรมีสีไม่สม่ำเสมอบ้าง เช่น กล้วยอาจมีจุดด่างดำเล็กน้อย มะม่วงบางลูกอาจมีสีเขียวปนเหลือง เป็นเรื่องปกติที่บ่งบอกว่าผ่านการสุกแบบธรรมชาติ การเห็นผลที่สวยเนียนทุกลูกเหมือนกันหมด มักเป็นสัญญาณว่ามีการคัดเลือกหรือใช้สารช่วยให้สุกพร้อมกัน ซึ่งไม่ใช่สัญญาณของความปลอดภัยเสมอไป โดยเราสามารถยืนเทียบดูสีของผักผลไม้ในหลายร้าน เพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดขึ้น เพราะร้านที่ขายของตามธรรมชาติมักมีสีที่ดูนุ่มนวล ไม่จัดจ้านเกินจริง เมื่อเลือกซื้อควรใช้สายตาพิจารณาแบบละเอียด ดูทั้งด้านหน้าและด้านหลังของผล เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการเคลือบสารหรือทำให้ดูสวยเกินจริง สีที่เป็นธรรมชาติยังช่วยให้เรามั่นใจในรสชาติ เพราะผักผลไม้ที่ไม่ใช้สารเคมีมักจะมีรสหวาน กลิ่นหอม และมีคุณค่าทางอาหารที่สมดุลมากกว่า ทำให้เราทั้งปลอดภัยและได้คุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นต่อร่างกายค่ะ 2. สังเกตจุดตัดและขั้วผล หนึ่งในวิธีที่ช่วยให้เราเลือกผักผลไม้ที่ปลอดภัย คือ การมองดูจุดตัดของก้านและขั้วผลอย่างละเอียดค่ะ จุดตัดของผัก เช่น ก้านคะน้า ผักบุ้ง หรือแม้แต่ผักและผลไม้ที่มีขั้ว เช่น มะเขือเทศ มะเขือยาว หรือส้ม ควรมีลักษณะที่สด ชุ่มน้ำ สีเขียวอ่อนหรือสีน้ำตาลอ่อนตามธรรมชาติ ไม่ควรแห้งกรอบหรือเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มจนดูเก่า เพราะนั่นเป็นสัญญาณว่าผักผลไม้ถูกเก็บไว้นานจนเริ่มเสื่อมคุณภาพ การสังเกตส่วนเล็กๆ น้อยๆ อย่างขั้วผลยังบอกได้ถึงวิธีเก็บเกี่ยว ถ้าขั้วหลุดขาดไม่เรียบร้อยหรือมีรอยช้ำ อาจเกิดจากการดึงแรงหรือขนส่งไม่ระวัง เมื่อเราเลือกซื้อที่ตลาดสด ให้ลองใช้มือจับขั้วผลดูเบาๆ ถ้ายังติดแน่นไม่หลุดง่าย แสดงว่า ผลผลิตนั้นยังสดใหม่และเพิ่งเก็บมาไม่นาน ขั้วที่มีสีเขียวหรือยังคงความชุ่มน้ำเป็นสัญญาณของความสด ในขณะที่ขั้วที่แห้งและกรอบจนหลุดง่ายบ่งบอกว่าถูกตัดมาแล้วหลายวัน ผักผลไม้ที่มีขั้วสมบูรณ์ยังมักมีรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการที่ดีกว่า ช่วยให้เรามั่นใจว่าของที่เลือกนั้นสด สะอาด และปลอดภัยจริงค่ะ 3. หลีกเลี่ยงผักผลไม้ที่ผิวมันผิดปกติ รู้ไหมคะว่า ผิวของผักผลไม้เป็นหนึ่งในตัวบอกคุณภาพที่เราสามารถมองเห็นได้ง่าย ถ้าเราสังเกตว่าผิวมันเงาวาวราวกับเคลือบน้ำมัน หรือดูเรียบเนียนผิดธรรมชาติ นั่นเป็นสัญญาณว่ามีการเคลือบสารเคมี เพื่อป้องกันการเน่าเสียหรือเพิ่มความสวยงาม ผักที่ผ่านการเคลือบสารมักจะมีความมันวาวแม้ในบริเวณที่ไม่ควรมี เช่น ใบคะน้า ใบผักชี ที่ตามธรรมชาติควรมีผิวด้านและมีความหยาบเล็กน้อย การเลือกของที่ผิวด้านและดูเป็นธรรมชาติจะลดโอกาสที่เราจะได้รับสารเคมีตกค้างโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเราสามารถทดสอบเบื้องต้นได้ง่ายๆ โดยใช้มือลูบผิวผักผลไม้เบาๆ ถ้ารู้สึกว่ามีความลื่นหรือมีคราบมันติดมือ ควรหลีกเลี่ยงและมองหาร้านอื่นที่ผักดูสดแบบธรรมชาติ ผักผลไม้ที่ไม่เคลือบสารจะมีผิวที่จับแล้วรู้สึกแห้ง ไม่ทิ้งความลื่น และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ตามธรรมชาติ การฝึกสังเกตผิวให้ชินตาจะช่วยให้เราเลือกของได้อย่างแม่นยำขึ้น และมั่นใจว่าของที่นำกลับบ้านปลอดภัยต่อสุขอนามัยของทุกคน 4. เลือกซื้อจากร้านที่มีป้ายรับรองมาตรฐาน คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การสังเกตร้านที่มีป้ายรับรองมาตรฐาน เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้เราเลือกผักผลไม้ปลอดสารพิษได้อย่างมั่นใจ เพราะป้ายรับรองอย่าง GAP หรือ Organic Thailand หรือมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ท้องถิ่น เป็นหลักฐานว่าผลผลิตผ่านการตรวจสอบกระบวนการปลูก การใช้ปุ๋ยและสารเคมีในปริมาณที่เหมาะสม รวมถึงการเก็บเกี่ยวที่ถูกวิธี การเลือกซื้อจากร้านที่มีป้ายเหล่านี้ จึงช่วยลดความเสี่ยงเรื่องสารตกค้าง และทำให้เรารู้สึกมั่นใจมากกว่าการซื้อแบบสุ่มจากร้านทั่วไป นอกจากนี้ร้านที่มีป้ายรับรองมักจะมีการแยกโซนชัดเจน ระหว่างผักผลไม้ปลอดสารและของทั่วไป ทำให้เราเลือกซื้อได้ง่ายและไม่สับสน โดยเราสามารถพูดคุยกับผู้ขายเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแหล่งปลูกหรือวิธีการขนส่งได้ ซึ่งผู้ขายที่ใส่ใจคุณภาพมักตอบได้ละเอียดและเต็มใจให้ข้อมูล การเลือกซื้อแบบนี้นอกจากช่วยให้เราได้ของที่ดีต่อร่างกายแล้ว ยังช่วยสนับสนุนเกษตรกรที่ทำการผลิตอย่างปลอดภัยและยั่งยืนอีกด้วยค่ะ 5. ลองใช้มือสัมผัสดูความแน่น การใช้มือสัมผัสเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้เราแยกผักผลไม้สดใหม่และปลอดสารพิษ ออกจากของที่เก็บไว้นานได้อย่างดีค่ะ ปกติผลไม้ที่สดจะมีเนื้อแน่นแต่ไม่แข็งกระด้าง เช่น มะเขือเทศที่กดแล้วนุ่มมือเล็กน้อยแต่ไม่ยวบหรือช้ำ กล้วยที่กดแล้วรู้สึกแน่นพอดีไม่เหลืองนิ่มเกินไป สำหรับผักใบเขียวลองจับก้านหรือใบ ถ้ายังกรอบ ชุ่มน้ำ และเด้งเบาๆ แสดงว่าผักนั้นสดและเก็บมาไม่นานค่ะ การฝึกสัมผัสบ่อยๆ จะช่วยให้เราแยกความต่างของผักผลไม้ที่ผ่านสารเร่งโตได้ เพราะของที่ใช้สารเร่งมักจะแข็งกระด้างผิดธรรมชาติ หรือบางครั้งนิ่มจนยวบเพราะเก็บไว้นาน การเลือกของที่มีความแน่นและยืดหยุ่นเหมาะสม จะทำให้เรามั่นใจว่าได้นำของสดใหม่กลับบ้าน และได้รสชาติและคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อร่างกายมากกว่าของที่ไม่สดค่ะ 6. สังเกตแมลงหรือร่องรอยกัดแทะเล็กน้อย หลายคนยังไม่รู้ว่าร่องรอยแมลงกัดแทะเล็กน้อยบนผักผลไม้ ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกที่ดีนะคะ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีในปริมาณมาก แมลงจะไม่กล้าเข้าใกล้หรือทิ้งร่องรอยกัดแบบนี้เลยค่ะ การเห็นรูเล็กๆ หรือรอยกัดตามใบผักหรือผิวผลไม้ จึงช่วยให้เรามั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่า ผลผลิตนี้ปลอดภัยและไม่ได้ผ่านการใช้ยาฆ่าแมลงที่รุนแรง การยอมรับความไม่สมบูรณ์เล็กน้อยบนผักผลไม้ จึงเป็นวิธีที่ช่วยให้เราเลือกของที่เป็นธรรมชาติได้มากขึ้นค่ะ เมื่อเราเลือกซื้อก็ควรพิจารณาความเหมาะสมด้วย เลือกผลที่มีรอยเพียงเล็กน้อย ไม่มากจนทำให้เน่าเสียหรือเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อรา ผักผลไม้ที่มีร่องรอยธรรมชาติเล็กน้อยยังคงให้รสชาติและคุณค่าทางโภชนาการที่ดี และช่วยให้เรามั่นใจว่าเป็นของที่เป็นมิตรกับร่างกายค่ะ การสังเกตเพียงจุดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้มีส่วนช่วยให้เราลดความเสี่ยงจากสารเคมีและได้ของที่สดใหม่กลับบ้านค่ะ 7. สังเกตน้ำหนักเทียบกับขนาด หลายคนยังมองไม่ออกว่าการถือผักผลไม้ในมือ และลองชั่งน้ำหนักเทียบกับขนาดเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยบอกความสดและคุณภาพได้ดี เนื่องจากผลผลิตที่ปลอดสารพิษและเก็บใหม่มักจะมีน้ำหนักแน่นมือ แม้ผลจะดูไม่ใหญ่มากแต่รู้สึกหนักเมื่อถือ เช่น ส้มโอที่เล็กแต่หนักแสดงว่า มีเนื้อแน่นและมีน้ำเต็มผลค่ะ ในทางกลับกันผลที่ดูใหญ่โตแต่เบาเกินไปอาจเป็นผลที่ใช้สารเร่งให้โตเร็ว ทำให้เนื้อหลวมและรสชาติไม่เข้มข้นเท่าที่ควร ดังนั้นเราควรหยิบผลอื่นในร้านมาเปรียบเทียบกัน เพื่อให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนค่ะ การเลือกผลที่มีน้ำหนักสมดุลกับขนาดจะทำให้เราได้ของที่ทั้งสดและรสชาติดี เพราะผลไม้ที่มีน้ำหนักมากมักมีน้ำตาลธรรมชาติสูงและเนื้อฉ่ำกว่า อีกทั้งยังเก็บได้นานโดยไม่เสียรสชาติเร็ว การสังเกตน้ำหนักเทียบกับขนาดจึงเป็นเทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยให้เราเลือกผักผลไม้ที่คุ้มค่ากับเงินและดีต่อร่างกายค่ะ 8. ใส่ใจฤดูกาลและความเหมาะสมของราคา ทุกคนรู้ไหมคะว่าผักผลไม้ที่ปลอดสารพิษส่วนใหญ่จะมีขายตรงตามฤดูกาล เพราะไม่ใช้สารเร่งให้ออกผลนอกฤดู การเลือกซื้อให้สอดคล้องกับช่วงฤดูกาล จึงเป็นวิธีที่ช่วยให้เราได้ของสดใหม่และลดความเสี่ยงจากสารเคมีค่ะ เช่น ในช่วงหน้าฝนควรเลือกซื้อผักบุ้ง คะน้า ฟักทอง ที่ออกตามฤดูกาล ส่วนหน้าร้อนอาจเลือกแตงกวา ข้าวโพดอ่อน หรือมะม่วงที่ออกผลมากตามธรรมชาติ และการใส่ใจเรื่องราคาเองก็สำคัญไม่แพ้กันค่ะ ถ้าผักผลไม้มีราคาถูกมากผิดปกติในช่วงที่ไม่ใช่ฤดู ควรระวังเพราะอาจเกิดจากการใช้สารเร่งให้สุกเร็ว หรือการเก็บรักษาไว้นานจนคุณภาพลดลง ในทางกลับกันผลผลิตตามฤดูกาลจะมีราคาสมเหตุสมผลและมีรสชาติอร่อยกว่า การเลือกซื้อแบบนี้ไม่เพียงช่วยให้เราได้ของดีต่อร่างกาย แต่ยังช่วยสนับสนุนเกษตรกรที่ปลูกผลผลิตตามธรรมชาติและยั่งยืนด้วยค่ะ 9. เลือกผลผลิตที่มีขนาดไม่สมบูรณ์แบบเกินไป โดยปกติแล้วผักผลไม้ที่ปลอดสารพิษมักจะมีขนาดหลากหลาย ไม่ได้สวยสมบูรณ์ทุกผลเหมือนกันหมด ผลที่สมบูรณ์แบบเกินไป มีขนาดใหญ่ เรียบเนียน และสีสม่ำเสมอเหมือนกันทุกลูก มักเป็นผลที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวดหรือใช้สารเร่งให้เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้เนื้อสัมผัสและรสชาติด้อยลงค่ะ การเลือกผลที่มีรูปร่างไม่เท่ากันบ้าง เล็กบ้างใหญ่บ้าง หรือมีผิวขรุขระเล็กน้อย จึงเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าปลูกแบบธรรมชาติมากกว่านะคะ และหลายคนยังมองไม่ออกว่าความไม่สมบูรณ์เล็กน้อยกลับเป็นจุดดี เพราะหมายถึงการไม่ใช้สารเคมีที่มากเกินไป เพื่อให้ผลผลิตออกมาเหมือนกันทุกชิ้นค่ะ การเลือกผลผลิตที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกันเล็กน้อย ยังช่วยให้เราได้รสชาติที่ใกล้เคียงธรรมชาติ และมักมีคุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วนกว่า เพราะไม่ได้ผ่านกระบวนการเร่งโตหรือเร่งสุกจนสูญเสียสารอาหาร การมองหาความไม่สมบูรณ์เล็กน้อยในผักและผลไม้ จึงเป็นอีกเทคนิคที่ทำให้เราเลือกของที่ปลอดภัยและดีกับร่างกายค่ะ และนั่นคือแนวทางทั้งหมดที่จำเป็นต้องรู้และนำไปใช้ สำหรับการเลือกซื้อผักและผลไม้ที่ปลอดสารพิษค่ะ พอจะมอภาพออกแล้วใช่ไหมคะ? ที่โดยสรุปแล้วเมื่อเราเข้าใจวิธีเลือกผักผลไม้ปลอดสารพิษอย่างถูกต้อง ก็เท่ากับเราได้สร้างด่านป้องกันสารเคมีให้กับครอบครัวตั้งแต่ต้นทางค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตสีสันที่เป็นธรรมชาติ ดูผิวว่ามีความด้านหรือมันผิดปกติ ลองใช้มือสัมผัสความแน่นของผล หรือแม้แต่ดูขั้วและจุดตัดเล็ก ๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่ช่วยบอกความสดใหม่และความปลอดภัยได้ดี การฝึกใช้สายตา จมูก และสัมผัสให้คุ้นเคย จะทำให้เราเลือกของได้แม่นยำยิ่งขึ้น และมั่นใจว่าได้นำสิ่งที่เหมาะสมกับร่างกายกลับบ้านค่ะ โดยหลายคนอาจคิดว่าการเลือกซื้อผักผลไม้ที่ตลาดสดเป็นเรื่องง่าย แต่จริงๆ แล้วมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามักมองข้ามค่ะ เช่น การใส่ใจเรื่องฤดูกาล น้ำหนักเทียบกับขนาด หรือร่องรอยแมลงเพียงเล็กน้อย ก็เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เราแยกของที่ปลอดภัยออกจากของที่อาจมีสารเคมีตกค้างได้ การพูดคุยกับคนขายเพื่อสอบถามแหล่งที่มา หรือเลือกซื้อจากร้านที่มีป้ายรับรองมาตรฐาน ก็เพิ่มความมั่นใจได้อีกขั้น เราจึงไม่เพียงแต่ได้ของที่สดใหม่ แต่ยังสนับสนุนเกษตรกรที่ตั้งใจทำการผลิตอย่างปลอดภัยด้วยค่ะ ทั้งนี้เมื่อเราทำสิ่งเหล่านี้จนเป็นนิสัยแล้ว ทุกการเดินตลาดจะกลายเป็นกิจกรรมที่สนุกและมีคุณค่า เราจะรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้นำผลผลิตที่คัดสรรมาเองกลับบ้าน และมั่นใจว่ามื้ออาหารที่ปรุงออกมาเป็นสิ่งที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนในครัวเรือนค่ะ และนี่คือการสร้างสุขอนามัยที่ดีตั้งแต่ต้นทาง ที่มีส่วนช่วยปกป้องร่างกายและลดโอกาสการได้รับสารเคมีสะสมในระยะยาว ที่จะทำให้เรามีความสบายใจทุกครั้งที่รับประทานอาหารและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นค่ะ สำหรับผู้เขียนนั้นต้องบอกว่าเป็นคนที่ชอบซื้อผักและผลไม้ตามฤดูกาลค่ะ ที่หาได้ในชุมชน ที่เกิดเองตามธรรมชาติก็ได้ และจะต้องไม่เงางามจนผิดปกติ รวมไปถึงการสังเกตความสมบูรณ์แบบค่ะ และมักเลือกเองด้วยมือเพื่อประเมินน้ำหนัก ความแน่นและความนุ่มยวบของผักและผลไม้ค่ะ โดยในตอนหลังมาก็เริ่มมีจุดยืนเกี่ยวกับผักและผลไม้ปลอดสารพิษให้ตัวเองมากขึ้น เช่น มองหาป้ายกำกับเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ GAP Organic farm และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องค่ะ ซึ่งถ้าไม่มีเครื่องหมายต่างๆ แล้วเป็นคนในชุมชนปลูกเอง ในบางครั้งผู้เขียนจะไปซื้อผักและผลไม้ที่สวนหรือฟาร์มเลยค่ะ โดยแนวทางการเลือกที่ผู้เขียนใช้จริงนั้น จะปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์นะคะ ที่เน้นไปเรื่องของความปลอดภัยของผักและผลไม้ก่อนเลือกซื้อค่ะ เพราะอาหารเป็นสื่อของความเจ็บป่วยในคนเราได้ ยังไงนั้นก็อย่าลืมนำไปประยุกต์ใช้ค่ะ และด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากคุณผู้อ่านชื่นชอบเนื้อหาแนวนี้ อย่าลืมกดติดตามหรือบันทึกโปรไฟล์ไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดข้อมูลใหม่ๆ ในบทความถัดไป หากสนใจอ่านบทความทั้งหมดของผู้เขียน ก็สามารถกดเข้าไปดูได้จากโปรไฟล์เช่นกันค่ะ #ผักปลอดสารพิษ #วิธีเลือกผลไม้ #ความปลอดภัยของอาหาร #FoodSafety เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก ถ่ายภาพโดย KamranAydinov จาก FREEPIK และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา ถ่ายภาพโดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 9 จุดสังเกตผักผลไม้ มีสารเคมีตกค้าง ไม่ปลอดสารพิษ ที่พบบ่อย 10 เคล็ดลับลดสารเคมีตกค้าง ในผักและผลไม้สด ต้องทำอะไรบ้าง? 13 ผักที่มีไลโคปีน สารต้านอนุมูลอิสระจากสีแดง ช่วยส่งเสริมสุขอนามัยดี หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !