9 ทริคเก็บรักษาอาหาร สำหรับผู้ป่วย ที่ดูแลต่อเนื่องที่บ้าน อ่านกันเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ในสถานการณ์จริงผู้ป่วยที่กลับมาดูแลต่อที่บ้าน มักต้องเผชิญความเสี่ยงด้านสุขาภิบาลอาหารมากกว่าที่คนทั่วไปคิดค่ะ เพราะร่างกายของผู้ป่วยส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โดยอาหารที่เก็บไม่ถูกวิธีหรือการปนเปื้อนแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้นได้ง่าย อาหารที่เหลือค้าง การอุ่นซ้ำโดยไม่ถึงอุณหภูมิที่เหมาะสม หรือแม้แต่การใช้ภาชนะที่ไม่สะอาด มักกลายเป็นช่องโหว่ที่อาจนำจุลินทรีย์เข้าสู่ร่างกายโดยตรง ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักไม่แสดงออกให้เห็นชัดเจน แต่กลับเป็นความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในทุกมื้ออาหารของผู้ป่วย และสิ่งที่คนทั่วไปมักมองข้ามอีก คือ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการจัดการอาหาร เช่น การไม่ติดฉลากวันเวลา ทำให้ไม่รู้ว่าอาหารถูกเก็บไว้นานเท่าไร หรือการเก็บอาหารดิบและสุกไว้ใกล้กันในตู้เย็น ซึ่งเสี่ยงต่อการปนเปื้อนข้าม อีกทั้งการทิ้งอาหารไว้นอกตู้เย็นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็อาจทำให้จุลินทรีย์เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่หลายครอบครัวกลับคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยค่ะ ดังนั้นการใส่ใจเรื่องสุขาภิบาลอาหารสำหรับผู้ป่วย จุงไม่ใช่แค่การทำให้ดูดีหรือสะอาด แต่คือการสร้างเกราะป้องกันให้ผู้ป่วยที่มาดูแลต่อที่บ้าน ให้มีความปลอดภัยจากความเจ็บป่วยที่มากับอาหารในทุกๆ วันของการดูแลที่บ้านค่ะ และต่อไปนี้คือแนวทางสุขาภิบาลอาหารสำหรับผู้ป่วยนะคะ 1. เลือกใช้ตู้เย็นที่มีอุณหภูมิคงที่ การเก็บรักษาอาหารสำหรับผู้ป่วยที่บ้าน สิ่งสำคัญอันดับแรก คือ การเลือกใช้ตู้เย็นที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างสม่ำเสมอค่ะ เพราะอุณหภูมิที่ไม่คงที่อาจทำให้อาหารเสียเร็วขึ้น และเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ซึ่งการรักษาอุณหภูมิช่องแช่เย็นให้อยู่ระหว่าง 0–4 องศาเซลเซียส จะช่วยคงความสดและความปลอดภัยของอาหารได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอาหารที่ผู้ป่วยต้องทานทุกวัน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม และอาหารปรุงสำเร็จ การจัดวางอาหารก็ควรเป็นระเบียบค่ะ เพื่อให้การหมุนเวียนความเย็นกระจายได้ทั่วถึง ไม่ให้บางจุดเย็นเกินไปหรืออุ่นเกินไปจนอาหารเสื่อมคุณภาพ นอกจากนี้การวางตำแหน่งอาหารภายในตู้เย็น ยังมีผลต่อความปลอดภัยด้วย เช่น ควรเก็บเนื้อสัตว์หรืออาหารดิบไว้ชั้นล่างสุด เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำจากอาหารหยดลงมาปนเปื้อนอาหารสุกหรืออาหารพร้อมทาน การใช้กล่องหรือถุงที่ปิดสนิทก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจได้อีกขั้นค่ะ เพราะไม่เพียงแต่ป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์เท่านั้น แต่ยังป้องกันจุลินทรีย์แพร่กระจายด้วย ดังนั้นการเลือกใช้ตู้เย็นที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิแม่นยำ และมีพื้นที่เพียงพอสำหรับจัดแยกอาหารอย่างชัดเจน จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขอนามัยในทุกมื้อนะคะ 2. เลี่ยงการทิ้งอาหารไว้นอกตู้เย็น หลายคนยังไม่รู้ว่า อาหารที่ปรุงสุกแล้วหากปล่อยทิ้งไว้นอกตู้เย็นเกิน 2 ชั่วโมง จะกลายเป็นแหล่งสะสมของจุลินทรีย์ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนหรือชื้น ซึ่งเหมาะต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์อย่างมาก ที่จะทำให้การทิ้งอาหารไว้บนโต๊ะหรือในครัวโดยไม่ได้แช่เย็น ทำให้อาหารเสื่อมสภาพ ถึงแม้จะดูไม่เสียด้วยตาเปล่า แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการเจ็บป่วยได้ง่ายกว่า เพราะระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยมักอ่อนแออยู่แล้วนะคะ ซึ่งแนวทางการแก้ไข คือ ควรรีบนำอาหารที่เหลือเข้าตู้เย็นทันทีหลังมื้ออาหาร โดยจัดเก็บในกล่องหรือถุงที่ปิดสนิทก่อน เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและคงรสชาติเดิมได้ดีกว่า หากจำเป็นต้องเก็บไว้ข้างนอกจริงๆ เช่น ระหว่างรออาหารเย็น ควรจำกัดเวลาไม่เกิน 1–2 ชั่วโมง และใช้ภาชนะปิดฝามิดชิด แต่ไม่ควรใช้เป็นวิธีนี้ประจำ เพราะการฝึกให้คนในบ้านมีวินัยเรื่องการเก็บอาหารเข้าตู้เย็นทันที จะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่ปลอดภัยมากกว่าในทุกมื้อค่ะ 3. จัดสรรอาหารเป็นมื้อย่อย รู้ไหมคะว่า การจัดสรรอาหารเป็นมื้อย่อยๆ ถือเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน และทำให้การดูแลผู้ป่วยง่ายขึ้นด้วย โดยเมื่อปรุงอาหารเสร็จ เราควรแบ่งใส่กล่องหรือถุงเล็กๆ ตามปริมาณที่ผู้ป่วยจะรับประทานในแต่ละมื้อ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ไม่ต้องนำอาหารทั้งหมด ออกมาจากตู้เย็นแล้วอุ่นซ้ำหลายครั้ง ซึ่งอาจทำให้อาหารสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น การแบ่งเป็นส่วนย่อยยังช่วยให้ผู้ดูแลสะดวกต่อการหยิบใช้ และควบคุมปริมาณอาหารได้ดีขึ้นด้วยค่ะ และการจัดเก็บในกล่องย่อยๆ ยังป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่ไม่สดใหม่หรือผ่านการอุ่นซ้ำบ่อยเกินไป เพราะทุกกล่องจะถูกเตรียมไว้สำหรับการรับประทานเพียงครั้งเดียว เมื่อถึงเวลาเพียงนำออกมาอุ่นให้ร้อนทั่วถึงก็พร้อมเสิร์ฟได้ทันที วิธีนี้ยังช่วยให้ผู้ดูแลสามารถวางแผนการจัดเมนูประจำวันได้ง่ายขึ้น เช่น เตรียมโจ๊ก ซุป หรืออาหารบดแยกไว้ล่วงหน้า ซึ่งเหมาะสมมากกับผู้ป่วยที่ต้องได้รับอาหารที่ปลอดภัย สดใหม่ และถูกสุขลักษณะทุกมื้อค่ะ 4. ติดฉลากวันและเวลา การติดฉลากวันและเวลาลงบนกล่องหรือถุงเก็บอาหาร เป็นวิธีที่เรียบง่ายแต่ได้ผลมากสำหรับการดูแลผู้ป่วยที่บ้านค่ะ เพราะช่วยลดความสับสนและเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยของอาหาร เพียงเขียนวันที่และเวลาที่ปรุงหรือเก็บอาหารไว้ชัดเจน จะทำให้รู้ทันทีว่า อาหารนั้นอยู่ในตู้เย็นมานานเท่าไร และควรนำออกมาใช้หรือทิ้งเมื่อครบกำหนด วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งในบ้านที่มีหลายคนช่วยกันดูแลผู้ป่วย เพราะทุกคนสามารถตรวจสอบข้อมูลเดียวกันได้ ไม่ต้องคาดเดาค่ะ อีกทั้งการติดฉลากยังทำให้การจัดการอาหารมีระบบมากขึ้น ผู้ดูแลสามารถจัดลำดับการใช้ เช่น อาหารที่ทำก่อนก็จะถูกนำออกมาใช้ก่อน (First In – First Out) ลดการสูญเสียและป้องกันไม่ให้อาหารค้างจนเน่าเสีย ตัวอย่างเช่น เขียนว่า “โจ๊กไก่ – 10.00 น. 1/09/2568“ ก็จะรู้ได้ชัดเจนว่าเหมาะสำหรับมื้อกลางวัน และควรรับประทานให้หมดภายในวันหรือวันถัดไป การใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ จะช่วยสร้างความมั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับอาหารที่สดใหม่ ปลอดภัย และถูกสุขลักษณะทุกมื้อ 5. ใช้ภาชนะปิดสนิทและเหมาะสม คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การเก็บอาหารในภาชนะที่ปิดสนิท มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ ฝุ่น และกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่อาจลอยอยู่ในตู้เย็นหรือห้องครัวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอาหารของผู้ป่วยที่ต้องเน้นความสะอาดและปลอดภัยสูง ซึ่งภาชนะที่มีฝาปิดแน่นยังช่วยรักษารสชาติ และเนื้อสัมผัสของอาหารให้ใกล้เคียงกับตอนปรุงใหม่ได้ ทำให้ผู้ป่วยทานได้ง่ายขึ้นและรู้สึกมั่นใจมากขึ้น โดยเราควรเลือกภาชนะที่ได้มาตรฐานสำหรับเก็บอาหาร และทนต่อการอุ่นร้อนหรือนำเข้าตู้เย็นได้โดยไม่เสื่อมสภาพค่ะ นอกจากความแน่นหนาแล้ว การเลือกภาชนะที่เหมาะสมกับประเภทของอาหารก็สำคัญเช่นกัน เช่น อาหารเหลวหรือซุปควรเก็บในกล่องสูงหรือขวดที่มีฝาปิดเกลียวแน่นเพื่อป้องกันการรั่วซึม ส่วนอาหารแห้งหรือผลไม้หั่น ควรเก็บในกล่องตื้นที่มีฝาปิดใสเพื่อให้หยิบใช้สะดวก การมีภาชนะหลากหลายขนาดในบ้าน จะช่วยให้ผู้ดูแลสามารถจัดเก็บอาหารตามปริมาณที่ต้องการได้ง่ายขึ้น และยังช่วยประหยัดพื้นที่ในตู้เย็นหรือตู้แช่ การใช้ภาชนะที่เหมาะสมจึงไม่เพียงแค่เรื่องความสะดวก แต่ยังเป็นเกราะป้องกันที่ช่วยรักษาความปลอดภัยของผู้ป่วยได้อย่างแท้จริงค่ะ 6. ควบคุมความสะอาดของอุปกรณ์ ในเรื่องของการรักษาความสะอาดของอุปกรณ์ที่ใช้เก็บหรือเตรียมอาหารนั้น ก็เป็นหัวใจสำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่บ้านค่ะ เพราะแม้จะเลือกอาหารดีและเก็บในตู้เย็นอย่างถูกวิธี หากอุปกรณ์ที่ใช้ เช่น ช้อน ทัพพี กล่องเก็บ หรือถุงบรรจุ มีคราบสกปรกหรือความชื้นตกค้าง ก็อาจกลายเป็นแหล่งสะสมของจุลินทรีย์ได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นทุกครั้งหลังใช้งาน ควรล้างอุปกรณ์ด้วยน้ำยาล้างจานและน้ำสะอาด จากนั้นเช็ดหรือผึ่งให้แห้งสนิทก่อนนำมาใช้ซ้ำ เพื่อลดความชื้นที่เป็นปัจจัยให้จุลินทรีย์เติบโต นอกจากนี้ควรหมั่นตรวจสอบสภาพของอุปกรณ์ที่ใช้อยู่เป็นประจำ หากกล่องพลาสติกมีรอยแตก ถุงซิปล็อกเริ่มเสื่อมสภาพ หรือมีคราบฝังแน่นที่ล้างไม่ออก ก็ควรเปลี่ยนใหม่ทันที และการเลือกใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยลดโอกาสที่สารเคมีจะปนเปื้อนลงสู่อาหาร ที่โดยสรุปแล้วการควบคุมความสะอาดของอุปกรณ์ จึงไม่ใช่เพียงแค่ทำให้ครัวดูเป็นระเบียบ แต่ยังเป็นการสร้างเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขอนามัยในทุกมื้อที่บ้าน 7. อุ่นอาหารอย่างถูกวิธี การอุ่นอาหารให้ถูกวิธีเป็นขั้นตอนที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยที่บ้านค่ะเพราะอาหารที่เก็บไว้ในตู้เย็นอาจมีจุลินทรีย์แฝงอยู่ หากอุ่นเพียงผิวด้านนอกหรืออุ่นไม่ทั่วถึง จุลินทรีย์ที่อยู่ภายในยังคงมีชีวิตและอาจก่อให้เกิดความเจ็บป่วยจากอาหารได้ ดังนั้นควรอุ่นอาหารให้ร้อนทั่วถึงทั้งชิ้น โดยให้อุณหภูมิถึงอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป เพื่อให้มั่นใจว่าจุลินทรีย์ถูกทำลาย ซึ่งวิธีนี้เหมาะกับอาหารทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นซุป โจ๊ก เนื้อสัตว์ หรืออาหารบดสำหรับผู้ป่วยค่ะ แต่ให้ระวังเรื่องการอุ่นซ้ำบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้อาหารสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติเปลี่ยนไป โดยควรแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยก่อนเก็บ เพื่อให้นำออกมาอุ่นเฉพาะปริมาณที่ต้องการจริงๆ หากอุ่นแล้วแต่ไม่ได้รับประทานภายใน 2 ชั่วโมง ควรเก็บกลับเข้าตู้เย็นและหลีกเลี่ยงการอุ่นซ้ำเกิน 1–2 ครั้ง การใช้ภาชนะที่เหมาะสมสำหรับอุ่น เช่น กล่องแก้วหรือกล่องพลาสติกที่ทนความร้อน ก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่งค่ะ ซึ่งการอุ่นอาหารที่ถูกต้องจึงไม่ใช่แค่ทำให้อาหารร้อน แต่คือการสร้างความมั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับอาหารที่ทั้งสดใหม่และปลอดภัยในทุกมื้อในระหว่างที่อยู่ที่บ้านนะคะ 8. แยกเก็บอาหารพิเศษของผู้ป่วย อาหารสำหรับผู้ป่วยมักถูกปรับสูตรให้เหมาะสมกับร่างกาย เช่น ลดเกลือ ลดน้ำมัน หรือบดละเอียดเพื่อให้กลืนง่าย ดังนั้นควรแยกเก็บออกจากอาหารของคนทั่วไปในครอบครัวอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการหยิบผิดหรือเกิดการปนเปื้อนจากอาหารที่มีรสจัดหรือมันมากเกินไป การแยกเก็บอาจทำได้โดยการใช้ชั้นวางเฉพาะในตู้เย็น หรือใช้กล่องที่มีสีและสัญลักษณ์เฉพาะเพื่อระบุว่าเป็นของผู้ป่วยโดยตรง วิธีนี้ช่วยให้ผู้ดูแลหยิบใช้ง่ายขึ้นและลดความสับสนในเวลาที่ต้องเตรียมอาหารเร่งด่วนค่ะ นอกจากนี้การแยกเก็บยังช่วยให้การจัดการอาหารมีความเป็นระบบมากขึ้นด้วย เช่น การเก็บอาหารบดหรือน้ำซุปใสไว้ในโซนเดียวกัน เพื่อให้ตรวจสอบปริมาณและความสดใหม่ได้ทันที หากบ้านมีหลายคนช่วยกันดูแล ผู้ดูแลแต่ละคนก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าอาหารใดคือของผู้ป่วย ที่ไม่ต้องเปิดดูหรือชิมก่อน ซึ่งการจัดเก็บอย่างเป็นสัดส่วน ยังช่วยรักษามาตรฐานความสะอาด และลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนข้ามระหว่างอาหารดิบและอาหารปรุงสุก ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ป่วยจะได้รับอาหารที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับสุขอนามัยในทุกมื้อ 9. ตรวจสอบคุณภาพอาหารก่อนเสิร์ฟ ก่อนนำอาหารมาให้ผู้ป่วยรับประทาน ควรตรวจสอบลักษณะภายนอกของอาหารทุกครั้งค่ะ ถึงแม้ว่าจะเก็บในตู้เย็นหรือใช้ภาชนะที่ปิดสนิทก็ตาม เพราะก็ยังมีโอกาสที่อาหารจะเสื่อมสภาพได้ ซึ่งสัญญาณที่ควรสังเกต ได้แก่ กลิ่นผิดปกติ สีเปลี่ยนไป เนื้ออาหารดูเละหรือมีน้ำแยกออกมา หากพบสิ่งเหล่านี้ควรทิ้งทันที ไม่ควรเสี่ยงให้ผู้ป่วยทาน เนื่องจากผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การกินอาหารที่ปนเปื้อนแม้เพียงเล็กน้อย สามารถทำให้เกิดความเจ็บป่วยผ่านทางอาหารได้ง่ายกว่าคนทั่วไป การตรวจสอบควรทำทั้งก่อนและหลังการอุ่นอาหาร เช่น หากอาหารมีกลิ่นเปรี้ยวหรือเหม็นหืนตั้งแต่ก่อนอุ่น ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้นำมาใช้ และหลังจากอุ่น หากพบว่ารสชาติเปลี่ยนไปจากเดิม ก็ควรหยุดเสิร์ฟทันที ซึ่งการตรวจสอบของผู้ดูแล ถือเป็นด่านแรกในการคัดกรองความปลอดภัยของอาหารที่ดีที่สุด ทั้งนี้ไม่ควรให้ผู้ป่วยลองชิมเองเพื่อทดสอบความเสีย การใส่ใจตรวจสอบก่อนเสิร์ฟจึงเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเผชิญกับปัญหาสุขอนามัยจากอาหารที่ไม่ปลอดภัยค่ะ และทั้งหมดนั้นคือการเก็บรักษาอาหารสำหรับผู้ป่วยที่บ้านค่ะ จะเห็นได้ว่ามีความสำคัญมากกว่าที่หลายคนคิด เพราะไม่ใช่เพียงเรื่องของความเป็นระเบียบ แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยของผู้ป่วยที่ร่างกายอ่อนแอกว่าคนทั่วไป เนื่องจากอาหารที่ไม่ได้เก็บอย่างถูกวิธี มักเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้ง่าย และการเลือกใช้ตู้เย็นที่อุณหภูมิคงที่ ใช้ภาชนะที่ปิดสนิท ติดฉลากวันเวลา และหลีกเลี่ยงการทิ้งอาหารไว้นอกตู้เย็น ล้วนเป็นแนวทางป้องกันปัญหาที่มักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวค่ะ โดยเมื่อเรานำเคล็ดลับข้างต้นมาปรับใช้จริง จะช่วยให้การดูแลผู้ป่วยเป็นเรื่องที่ง่ายและมีระบบมากขึ้นนะคะ เช่น การแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยเพื่อลดการอุ่นซ้ำ การจัดชั้นตู้เย็นแยกอาหารพิเศษของผู้ป่วยออกจากอาหารทั่วไป หรือการหมั่นตรวจสอบความสะอาดของอุปกรณ์และคุณภาพของอาหารก่อนเสิร์ฟ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงลดความเสี่ยง แต่ยังทำให้ผู้ดูแลมั่นใจว่าทุกมื้อที่ยกเสิร์ฟนั้นปลอดภัยต่อสุขอนามัยของผู้ป่วยจริงๆ ค่ะ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างการตรวจสอบกลิ่น สี และสภาพของอาหารก่อนเสิร์ฟ หรือการอุ่นอาหารให้ร้อนทั่วถึงทุกครั้ง อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่กลับเป็นตัวแปรที่สำคัญต่อการฟื้นฟูสุขอนามัยของผู้ป่วย หากผู้ดูแลทำตามทั้ง 9 ทริคอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่สดใหม่ ปลอดภัย และเสริมกำลังใจได้ในทุกๆ วันของการดูแลต่อเนื่องที่บ้านค่ะ สำหรับผู้เขียนนั้นได้มีโอกาสดูแลพ่อของตัวเองค่ะ โดยในตอนนั้นพ่อกลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน หลังจากที่ได้รับการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง เพื่อระบายหนองและตัดไส้ติ่งกับทางเดินอาหารบางส่วนออกไป ซึ่งหลังจากที่ได้ออกจากโรงพยาบาลมา ผู้เขียนเป็นคนหลักในการดูแลพ่อจนหายขาดค่ะ ใช้เวลาประมาณ 10 กว่าวันที่บ้าน โดยการทำอาหาร การอุ่นอาหาร การจัดเก็บอาหารผู้เขียนได้ทำเองกับมือค่ะ ที่ไม่ได้ทิ้งอาหารไว้ข้างนอกตู้เย็นเลยค่ะ และทำอาหารใหม่ในทุกมื้อ อาหารว่างเตรียมใหม่ทุกเวลา อาหารหลักเน้นอาหารอ่อนย่อยง่ายและรสไม่จัดค่ะ ทำแบบนี้ทุกวันจนพ่อกลับมาหายเป็นปกติค่ะ ยังไงนั้นหากตอนนี้คุณผู้อ่านมีความจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยต่อที่บ้าน นอกจากเรื่องยาและการดูแลอื่นๆ แล้ว การสุขาภิบาลอาหารสำหรับผู้ป่วย ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่หลีกเลี่ยงได้ยากค่ะ เพราะมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับสุขอนามัยของผู้ป่วยโดยตรง ดังนั้นอย่าลืมนำไปเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วยที่บ้านนะคะ และด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไป ถ้าต้องการอ่านบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน ให้กดดูโปรไฟล์ได้เลยค่ะ #อาหารสำหรับผู้ป่วย #สุขาภิบาลอาหาร #ความปลอดภัยในอาหาร #FoodSanitation เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก โดย Daria-Yakovleva จาก Pixabay และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1,4 โดยผู้เขียน, ภาพที่ 2-ภาพที่ 3 โดย MYCCF จาก Pixabay เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 10 วิธีเลือกไข่ไก่สดใหม่ ดูยังไงดี มีคุณภาพ และน่าซื้อ วิธีดูแลตัวเอง รับมือสารก่อภูมิแพ้หน้าฝน วันอานันทมหิดล 9 สัญญาณอาหารเริ่มบูดเสีย ที่ต้องสังเกต และหลีกเลี่ยงไม่กิน หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !