เรื่องเล่าจากเจ้าถิ่น รสมือแม่ สะตอพวงใหญ่วางอยู่ที่พื้น ฉันก้มตัวลงนั่งที่พื้นในท่าขัดตะหมาด ค่อยๆเด็ดสะตอออกจากพวงทีละฝัก ๆ และบรรจงเอามีดฝานสะตอเม็ดเป้งทีละเม็ด แล้วลอกเปลือกที่หุ้มเม็ดออก ฝานออกเป็นสองซีกแล้วโยนมันแช่น้ำในกะละมังพลาสติค โป๊ก...โป๊ก... เสียงครก แม่กำลังสาละวนอยู่กับการตำพริกขี้หนู กับกระเทียม และกะปิในครกหิน กลิ่นพริกกลิ่นกระเทียมและกะปิ ส่งกลิ่นฉุนฟุ้งอยู่ในครัว ทำให้ฉันจามอยู่หลายหน ปั่ก...ปั่ก... เสียงมีดกระทบลงบนเขียง แม่กำลังสับหมูนั่นเอง ฉันเอากุ้งมาล้างทำความสะอาดเด็ดหัวกุ้งออกหางเหลือไว้ และค่อยๆเอามีดฝานลงไปบนหลังกุ้ง เพื่อดึงเส้นสีดำบนหลังกุ้งออก เวลาผัดเนื้อกุ้งตรงบริเวณหลังมันจะแบะออกดูสวยงาม และน่ากิน เครื่องปรุงพร้อมแล้ว แม่เอากระทะตั้งบนเตาแก๊ส เทน้ำมันลงในกระทะ น้ำมันร้อนได้ที่ ส่งเสียงดังแช่…แม่ใช้ทัพพีตักพริก กระเทียม กะปิที่โขลกเข้ากันในครกลงในกระทะ เสียงดังแช่…ตามด้วยหมูสับ และกุ้งสุดแม่ใช้ตะหลิวขยี้หมูสับเพื่อไม่ให้มันติดกันเป็นก้อน ผัดคลุกเคล้าไปมา จากนั้นเอาสะตอเม็ดเป้งใส่ลงในกระทะ ผัดคลุกเคล้าไปมาอีกครั้ง เหยาะน้ำปลาลงไปนิด เติมน้ำตาลปี๊บลงไปหน่อย ให้มีรสหวานเพื่อตัดรสเค็ม สะตอเสร็จแล้ว แม่บอก เดี๋ยวทำไข่เจียวกับแกงจืดเต้าหู้เสริมอีกสองอย่าง จะได้กินข้าวกัน ผัดสะตอถือเป็นเมนูเด็ดประจำครอบครัวฉัน ผัดเมื่อใด กินข้าวต้องมีเบิ้ล ครอบครัวของฉัน กินข้าวพร้อมหน้ากันทุกวัน เราจะกินข้าวกันประมาณสองทุ่ม จัดว่ากินข้าวกันดึก เพราะรอทุกคนกลับจากทำงาน แม่บอกมาให้คนมาให้ครบค่อยทำกับข้าว จะได้กินกันร้อนๆ ฉะนั้น ทุกวันฉันจะได้กลิ่นกับข้าวที่แม่ทำในตอนนั้น และบางวันฉันจะเข้าไปเป็นลูกมือแม่ วันไหนที่แม่ผัดสะตอจะจามกันทั้งบ้าน เพราะฉุนกลิ่นพริก กลิ่นกระเทียม ส่งกลิ่นฟุ้งไปทั้งบ้าน ผัดสะตอถือเป็นเมนูเด็ดประจำบ้าน และขายดีที่สุด แม่จะใส่กุ้งเยอะ เพราะรู้ว่าลุง (ฉัน) กับหลาน (น้องพลอย) ชอบแย่งกันกินกุ้ง แม่ฉันเป็นคนมีฝีมือในการทำอาหาร อยากกินอะไรบอกแม่ไป เดี๋ยวแม่จัดการให้ได้หมด ไม่ว่าอาหารประเภทไหน ไทย จีน ฝรั่ง อาหารภาคไหน แม่ทำได้หมด “ อยู่ถึงไหนกันแล้ว ” จะเป็นคำพูดของแม่ที่มักจะโทรหา ฉันและน้องสาว เพื่อรอกินข้าวพร้อมๆกัน เพื่อจะได้กะเวลาถูกในการทำกับข้าว และจะได้กินกันร้อนๆ “ วันนี้มีต้มมะระนะ แล้วก็น้ำพริกกะปิชะอมทอด อย่าลืมซื้อพะแนงหมูเจ้าเดิม เข้ามาเพิ่ม อีกสักอย่าง น้องพลอยชอบพะแนง เจ้านี้ ” ระหว่างกินข้าว เรามีเรื่องคุยกันมากมาย กินไปดูทีวีไป ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน มีเรื่องราวมาเล่าปรึกษาหารือกันเกือบทุกวัน ได้รับรู้ข่าวคราวของญาติคนโน้น คนนั้น ญาติข้างพ่อข้างแม่ คนโน้นป่วยอยู่ คนนั้นตายแล้ว ข่าวคราวของเพื่อนบ้าน มาบอกงานบุญ งานบวช เราจะได้รู้ข่าวคราวเหล่านี้ ที่แต่ละคนได้รู้และได้ยินมา ที่โต๊ะกินข้าว “ ป้อเจ้า ” เสียงอุทานของกาสะลอง บนรถไฟสายเชียงใหม่ - กรุงเทพ ขณะที่พยายามจะหนีนายแคว้นมั่นผู้เป็นพ่อ ไปกับหมอทรัพย์คนรัก เพื่อที่จะไปครองรักกัน จากการขัดขวางของนายแคว้นมั่นผู้เป็นพ่อ “ หมดกัน อีง่าวเอ๊ย ” อุตส่าห์ทำทุกอย่างปลอมตัวเป็นแหม่ม หนีกันมาด้วยความยากลำบาก เสือกอุทาน “ ป้อเจ้า ” โดนจับกลับไปอีก เสียงแม่ด่านางเอก ฉันคอยผสมโรงไปด้วย “ง่าวกะหนาด ” อินไปกับละครอยากให้นางเอกหนีไปได้ ครอบครัวเราติดละคร เรื่องกลิ่นกาสะลอง ดูไปด่าไป รู้สึกอึดอัด ลุ้นกันทั้งบ้าน กับการหนีของนางเอก ว่าจะหนีไปพ้นไหม สุดท้ายหนีไม่พ้น เลยอดที่จะด่านางเอก “ อีง่าว ” ไม่ได้ ฮ่า ๆ ๆ การกินข้าวพร้อมหน้ากัน นั้น ฉันว่า เป็นการสร้างบรรยากาศความรักและความผูกพัน ให้กับครอบครัว เพราะทุกวัน เราได้มีการพูดคุยรับรู้เรื่องราวของคนในครอบครัว ทำให้เกิดความรักและความเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น ไม่มีความขัดแย้งกัน ครอบครัวไม่เงียบเหงา ทำให้ไม่มีใครในบ้านเป็นโรคซึมเศร้า เปรียบเหมือนดั่งมีภูมิคุ้มกันทำให้ครอบครัว มีความเข้มแข็ง มีความรักและความอบอุ่นมั่นคงยิ่งขึ้น แต่ปัจจุบัน การกินข้าวพร้อมหน้ากัน นั้น ค่อยๆจางหายไป ด้วยเวลาที่จัดสรรไม่ลงตัว และการไม่รู้จักเสียสละเวลาเพื่อกันและกัน ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตเปลี่ยนไปกลายเป็นต่างคนต่างกิน และมักจะได้ยินคำพูด “ ท้องไม่ได้ติดกัน ” ไม่ต้องรอกินข้าว ฉันฟังแล้วชวนโมโห บางคนกินข้าวกับแฟน บางคนกินข้าวกับเพื่อน บางคนกินข้าวมื้อเย็นตามงานเลี้ยงสังสรรค์ ทำให้ความผูกพันและความรู้สึกเป็นครอบครัวค่อย ๆ จางหายไป เป็นไปในลักษณะตัวใครตัวมัน และนั่นคือที่มาของปัญหาสังคมมากมาย ที่หลายคนมองข้ามไป สำหรับครอบครัวฉัน การกินข้าวพร้อมหน้ากันเป็นความผูกพัน เพราะอาหารที่แม่ทำให้ลูก ๆกิน นั้น เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้พวกเรารีบกลับมาทานข้าวที่บ้านพร้อมหน้ากัน อาหารที่แม่ทำ ล้วนเป็นอาหารที่ถูกปาก มีรสชาติอร่อยกว่าใคร ๆ เพราะแม่ใส่ใจกับการทำอาหารทุก ๆ ครั้ง แม่รู้ว่าลูก ๆ ทุกคนชอบกินอะไร ไปกินอาหารที่ไหน ๆ ก็ไม่อร่อยเท่ากับ “ รสมือแม่ ” ที่ทำให้ลูก ๆ ทุกคนได้กิน พวกเรากินกันจนอิ่มแปล้ ฉันรักแม่ “ รสมือแม่ ” ไม่แพ้ใคร