เนื้อแน่น กรอบ แต่หวานฉ่ำ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เป็นจุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ทำให้ "เมล่อน" แตกต่างจากผลไม้ชนิดอื่นๆ ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว ถ้าอยากรับประทานเมล่อน จะต้องซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำเท่านั้น ราคาต่อลูกก็ค่อนข้างแพง ประมาณ 200 บาทขึ้นไป แต่เดี๋ยวนี้เกษตรกรหลายจังหวัดในประเทศไทยหันมาปลูกเมล่อนกันเยอะขึ้น นั่นเป็นเพราะมันข้อดีมากมาย กรมส่งเสริมการเกษตรจึงสนับสนุนให้หันมาปลูกกันจนแพร่หลาย เดี๋ยวนี้เมล่อนจึงราคาถูกลง เมล่อนที่เราจะพูดถึงกันวันนี้คือ "เมล่อนฮันนี่ดิว" เนื้อในสีเขียวที่เป็นที่นิยมทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก และด้วยความที่ส่วนตัวชื่นชอบเมล่อนเป็นพิเศษ จึงไปค้นหาเรื่องน่ารู้ของผลไม้ชนิดนี้มาฝากกัน โดยศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากทั้งกรมส่งเสริมการเกษตร และเว็บไซต์ด้านสุขภาพของสหรัฐ ประวัติของ "เมล่อน" ในประเทศไทย มีการนำเข้าพันธุ์เมล่อนจากต่างประเทศมาปลูกครั้งแรกที่สถานีกสิกรรมแม่โจ้ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เมื่อปี 2478 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จากนั้นก็ทดลองปลูกอีกหลายครั้ง จนประสบความสำเร็จเมื่อปี 2497 ที่เกษตรกลางบางเขน แต่เป็นการทดลองปลูกในแปลงเกษตรเท่านั้น "สระแก้ว" คือจังหวัดที่ปลูกเมล่อนสำเร็จที่แรก หลังจากทดลองปลูกสำเร็จที่เกษตรกลางบางเขน มีการนำเมล่อนฮันนี่ดิวไปปลูกจริงที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว และได้ผลดี จึงเริ่มขยายการปลูกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทำให้เกษตรกรจังหวัดสระแก้วและใกล้เคียง เป็นแหล่งเริ่มต้นในการเพาะปลูกเมล่อนเป็นอาชีพแหล่งแรกของไทย กรมส่งเสริมการเกษตรสนับสนุนการปลูกเมล่อนจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่ประเทศไทยประสบภาวะภัยแล้งลุกลามไปทั่วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เกษตรกรที่ยึดอาชีพทำนาก็ประสบปัญหาน้ำไม่พอกับการปลูกข้าว กรมส่งเสริมการเกษตรจึงสนับสนุนให้ปลูกพืชน้ำน้อยที่ทนร้อน และ "เมล่อน พันธุ์ฮันนี่ดิว" คือ 1 ในผลไม้ที่กรมฯสนับสนุนให้ปลูก และมีชาวนาจำนวนมากหันมาปลูก สร้างรายได้เป็นจำนวนมาก สามารถส่งออกได้ เป็นอาชีพใหม่ของเกษตรกรจนถึงปัจจุบัน ข้อแตกต่างระหว่างเมล่อนและแคนตาลูป แคนตาลูปคือเมลอนสายพันธุ์หนึ่ง ในภาษาอังกฤษเรียก “แตง” ว่า “เมล่อน” เมื่อมีแคนตาลูปสายพันธุ์ต่างๆ เกิดขึ้น ก็มีการตั้งชื่อให้กับมัน เช่น เมล่อนเนื้อสีเขียวคือ “ฮันนี่ดิว” เมล่อนเนื้อสีส้มคือ “ซันเลดี้” มีประโยชน์ด้านสุขภาพมากมาย มีการวิจัยจากทั่วโลก พบว่าเมล่อนมีคุณค่าทางโภชนาการหลายด้าน โดยเฉพาะการมีสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดความเครียดได้ มีวิตามินซี วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก ช่วยในการลดน้ำหนัก เนื่องจากเมล่อนไม่มีไขมัน ไม่มีคอเลสเตอรอล และแคลอรีต่ำ คนทั่วโลกจึงนิยมบริโภคเพื่อลดน้ำหนัก โดยมีทั้งผ่ารับประทานแบบแช่เย็น รวมทั้งนำไปประกอบอาหาร เช่น สลัด การเลือกซื้อเมล่อน เลือกที่ลูกกลม ผิวจะต้องตึงกดลงไปไม่ยุบ ลายตาข่ายจะต้องพาดกันแบบเป็นระเบียบ ถ้าขั้วของมันแห้งแปลว่ารับประทานได้เลย แต่ถ้ายังไม่แห้งให้ตั้งเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง รอให้มีกลิ่นหอมอ่อนๆ แปลว่าพร้อมรับประทาน แถมให้อีกสักเล็กน้อยสำหรับหลายคนที่เคยเข้าใจว่า "เมล่อน" ปลูกกันมากในญี่ปุ่น ที่จริงแล้วคนญี่ปุ่นนิยมรับประทานเมล่อนกันมากจริง แต่ไม่ได้ปลูกมาก แต่เมล่อนฮันนี่ดิวที่ปลูกมากในไทยมีสายพันธุ์มาจากประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง ภาพและเรื่องโดย Sandtar