ลิ้นจี่(LyChee) ผลไม้รสอร่อย หวานฉ่ำอมเปรี้ยว เป็นผลไม้ที่มีน้ำเยอะ แก้กระหาย ทำให้รู้สึกสดชื่น อุดมไปด้วยวิตามิน มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ถือเป็นผลไม้ทางเศรษฐกิจ ปลูกกันในหลายพื้นที่ ในประเทศไทยแถบภาคเหนือ ในเอเชียที่ จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม บังคลาเทศอินเดียตอนเหนือ ในประเทศตะวันตกที่ สหรัฐอเมริกา ลิ้นจี่มีหลากหลายสายพันธุ์เช่น ฮงฮวย จักรพรรดิฯลฯได้รับการพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง คุ้มค่าต่อการปลูกสามารถจำหน่ายเป็นผลสด(จำหน่ายเป็นกิโลกรัม)และเพิ่มมูลค่าโดยการแปรรูปได้อย่างหลากหลาย เช่น ลิ้นจี่กระป๋อง ลิ้นจี่อบแห้ง ลิ้นจี่กวน ลิ้นจี่ลอยแก้วเป็นต้น โดยทั่วไปเปลือกลิ้นจี่ที่พบส่วนใหญ่จะเป็นสีเเดงแต่ลิ้นจี่ที่จะพามารู้จักกันในวันนี้คือ ลิ้นจี่ที่มีเปลือกสีเขียวแปลกตา (Chinese Green LyChee) อีกทั้งยังเป็นลิ้นจี่ในตำนานประวัติศาสตร์อีกด้วย ลิ้นจี่ชั้นดี ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ส่งตรงจากไห่หนานประเทศจีน ลิ้นจี่เขียว พันธุ์ "สนมยิ้ม" FeiZhiXiao (妃子笑) ชื่อนี้มีที่มา ลิ้นจี่ในประวัติศาสตร์จีนสมัยราชวงศ์ถัง ตามตำนานกล่าวถึงหยางกุ้ยเฟย(杨贵妃)ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็น1ใน4ยอดหญิงงาม สนมเอกผู้เป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิถังเสวียนจง พระนางมีความโปรดปรานในรสชาติของลิ้นจี่เป็นอย่างมาก จักรพรรดิถังเสวียนจงทรงบัญชาให้นำลิ้นจี่จากแหล่งเพาะปลูกลิ้นจี่ชั้นดีทางตอนใต้ของจีน(ห่างจากเมืองหลวงนับพันกิโลเมตร) เดินทางข้ามวันข้ามคืนโดยรถม้า มาถวายที่ฉางอัน(เมืองหลวง)ด้วยความรวดเร็วเพื่อให้คงความสด ความหอมหวานมากที่สุด ให้พระสนมพอใจที่สุด ด้วยความรักอันลุ่มหลงของจักรพรรดิถังเสวียนจงและหยางกุ้ยเฟยทำให้ลิ้นจี่เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่แสนหวานโรเเมนติก และเป็นผลไม้ล้ำเลิศของราชสำนัก ลิ้นจี่เขียว พันธุ์ สนมยิ้ม FeiZhiXiao เนื้อหนา เมล็ดลีบ รสชาติหอมหวานอร่อยโดดเด่น ไม่เหมือนลิ้นจี่สายพันธุ์อื่น รับรองว่าใครได้ชิมก็ต้องหลงรัก ยิ่งถ้าได้รับประทานตอนเเช่เย็นก็ยิ่งอร่อยเพลินเกินห้ามใจ ข้อควรระวัง หากรับประทานลิ้นจี่ในปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการร้อนใน เนื่องจากสารประกอบชนิดหนึ่งในเนื้อลิ้นจี่ ฉะนั้นควรรับประทานแต่พอดี และรับประทานผลไม้หลากหลายเพื่อประโยชน์และสมดุลต่อร่างกาย ภาพโดย ผู้เขียน