สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้เราจะมาแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มในอเมริกาให้เพื่อนๆได้ชมกันค่ะ ก่อนอื่นเลยเราจะขอท้าวความถึงที่มาที่ไปกันก่อนนะคะ คือเราเคยเป็นเด็กนักเรียนไทยในอเมริกาค่ะ เราใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเกือบ 4 ปี ดังนั้นแล้วอาหารการกินของเราจึงอุดมสมบูรณ์มาก อเมริกาเป็นประเทศที่เรากล้าพูดได้เลยว่าเราสามารถหาวัตถุดิบการปรุงอาหารทุกสิ่งอย่างจากทั่วทุกมุมโลกได้ และในขณะเดียวกันนั้น เราก็สามารถหาร้านอาหารทุกประเภทจากแทบทุกทวีปทั่วโลกที่เราต้องการได้ในอเมริกาได้เช่นเดียวกันค่ะ เราเรียนอยู่ที่บอสตัน แมสซาชูเสท ดังนั้นแล้วเราสามารถปรุงอาหารท้องถิ่นบ้านเราโดยหาซื้อวัตถุดิบจากร้านเอเชียใกล้บ้านได้อย่างสะดวกสบายค่ะ อาหารท้องถิ่นที่เราพูดถึง ไม่ใช่ผัดไท ผัดกระเพรา อะไรประมาณนี้นะคะ แต่เราหมายถึง ไส้อั่ว ลาบคั่ว แกงหน่อไม้ น้ำพริกแมงดา แกงไตปลา น้ำพริกปลาร้า แกงเห็ดเผาะ ไข่มดแดง และอื่นๆได้แทบจะทุกเมนูเลยค่ะ เข้าเรื่องกันเลยนะคะ จากข้อมูลข้างต้นนั้นทุกท่านคงทราบดีว่าชีวิตนักเรียนอย่างเราไม่อดยากแน่นอนเนอะ อิอิ และด้วยความชอบกิน ชอบชิม ชอบลองอาหารแปลกๆ เราจึงจะนำหน้าตาอาหารที่ขายตามร้านอาหารที่นี่มาให้เพื่อนๆได้เห็นหน้าคร่าตากันค่ะ โดยเราจะแบ่งเป็นหมวดของอาหาร และ เครื่องดื่ม นะคะ มาเริ่มที่อาหารกันก่อนเลยค่ะ พูดถึงตระกูลเส้น ก็ต้องยกให้สปาเก็ตตี้ใช่ไหมคะ อิอิ ไปดูหน้าตาสปาเก็ตตี้ของชาวอเมริกันกันเลยค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ ภาพแรกเป็นสปาเก็ตตี้ผัดกุ้งแบบอิตาเลี่ยนค่ะ ถ้าจำไม่ผิดเรียกว่าซอสโรเซตเต้ อะไรประมาณนี้ อิอิ จานนี้เราทานที่ร้านดังย่านลิเติ้ลอิตาลี่ ในบอสตันค่ะ เส้นสปาเก็ตตี้ทางร้านทำเอง ซึ่งรสชาติก็จะหอมมันครีมซอสและเส้นก็ไม่เหมือนเส้นที่เราเอามาต้มทำเองเลย มันนุ่มนิดหนึบหน่อย อร่อยค่ะ ทานหมดเกลี้ยง รสชาติเหมือนจะปรุงน้อยแต่อร่อยหนักนะคะ จานนี้ราคาอยู่ที่ 900 บาท เพราะเป็นซีฟู๊ดและขายในร้านดังค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ จานที่สองเรียกว่าสปาเก็ตตี้ซอสเพรสโต้ จานนี้เราเลือกแบบแองเจิ้ลแฮร์ ซึ่งก็คือเลือกเส้นสปาเก็ตตี้ขนาดเล็กสุดนั่นเองค่ะ มาในจานขนาดใหญ่มากๆๆๆๆๆๆ และไม่มีเนื้อสัตว์ใดๆเลย 5555 ถามว่าอร่อยไหม เราว่าอร่อยนะคะ ครีมมี่ หอมใยโหระพาปั่น แต่สำหรับเรามันเยอะไปทำให้เลี่ยนแล้วทานไม่หมดค่ะ ถ้ามีเบค่อนแถมมาด้วยนี่น่าจะทานหมดจานค่ะ จานนี้ราคาอยู่ที่ 350 บาท ถือว่าเป็นราคาที่ไม่แพง ถ้าเทียบกับค่าครองชีพของที่นี่ค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ จานที่สามสปาเก็ตตี้คาโบน่าร่า นี่คือร้านเดียวกันกับสปาเก็ตตี้ซอสเพรสโต้ค่ะ จานใหญ่มากๆๆๆ และรสชาติอร่อยค่ะ เบค่อนหอมมาก ครีมชีสก็เคลือบเส้น แต่อย่างที่บอก ด้วยขนาดเยอะไปเราก็เลยทานไม่หมดเพราะชิงอิ่มตั้งแต่จานแรก อิอิ จานนี้ราคาอยู่ที่ 400 บาทค่ะ ราคากลางๆ ห่อกลับไปทานได้อีกมื้อ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ จานที่สี่ "ราเม็ง" ค่ะ ใช่ค่ะ ฝรั่งไม่ได้ทานกันแค่อาหารฝรั่งนะคะ ราเม็งก็เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมมากๆภายใต้ชื่อ Japanese noodles ค่ะ ร้านขายราเม็งส่วนใหญ่ถึงแม้จะมีฝรั่งเข้าไปรับประทานกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนชาวเอเชียอย่างพวกเราๆค่ะ ในภาพคือมิโซะราเม็ง น้ำซุปไม่ได้เข้มข้นมาก ซึ่งบางร้านเค้าจะแบ่งระดับความเข้มข้นของน้ำซุป ซึ่งร้านลักษณะนี้ได้รับความนิยมมากๆ มาทานทีก็ต่อแถวท่ามกลางอากาศหนาวเป็นชั่วโมงเลยค่ะ ส่วนรสชาตินั้นเหมือนทานที่ญี่ปุ่นเลยค่ะ อร่อย แถมเป็นอาหารที่ราคาไม่แพง เรายังแอบคิดเลยว่าราคาราเม็งที่ประเทศไทยขายแพงเท่าราคาราเม็งที่นี่เลย จานที่เห็นนั้นมีไข่ครึ่งลูก หมูชาชู 2ชิ้น ราคาอยู่ที่ 350 บาทค่ะ ไม่แพงเลยถ้าเทียบกับอาหารอื่นๆ จบหมวดอาหารเส้น ที่นี้ไปดูอาหารปกติทั่วไปกันนะคะ (Main dish) จานแรกของหมวดอาหารทั่วไปเรียกว่า "นาโช่ว์เนื้อปู" ค่ะ นาโช่ว์เป็นอาหารยอดนิยมของชาวอเมริกาใต้ เราเองมีเพื่อนที่มาจากอเมริกาใต้หลายคน ทั้ง โคลัมเบีย เวเนซุเอล่า ซึ่งพวกเขาชอบทานนาโช่ว์กันมาก ไม่ว่าจะทานเป็นอาหารทานเล่น อาหารจานหลัก หรือกับแกล้ม ก็อร่อยและเหมาะกับประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ ตัวแป้งกรอบๆน่าจะทำมาจากข้าวโพด เค้าจะโรยเกลือและผงปรุงรสให้มีรสเค็ม วิธีการทานก็นำมาจิ้มกับซอสปูที่เป็นก้อนๆอยู่ตรงกลาง เมนูนี้เราชอบค่ะ เวลาทานกันหลายๆคนแชร์กันสนุกดี อร่อยด้วย ที่สำคัญ เพลินมากๆ เมนูนี้ปัจจุบันมีขายในร้านอาหารอเมริกันด้วย โดยเฉพาะตามบาร์ นาโช่ว์จะเป็นที่นิยมมาก จานนี้อยู่ที่ราคา 500 บาท ค่ะ จานใหญ่นะคะ ปูแน่นด้วย เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ จานที่สองก็ยังหนีไม่พ้นนาโช่ว์อีกแหละค่ะ อิอิ แต่นี่เป็นนาโช่ว์ออริจินอลของชาวโคลัมเบียค่ะ จานนี้คือนาโช่ว์เนื้อ (เราขอให้ร้านผสมไก่่ครึ่งนึงเนื้อครึ่งนึง) ซึ่งเราชอบเมนูนี้มากๆๆๆ ราคาถูก ทางร้านจัดวางเป็นคำๆให้แล้ว แค่ตักกัวกาโมเล่ (ซอสอโวคาโด้) กับซาวครีม ราดบนหน้าแล้วหยิบทานได้เลยเต็มปากเต็มคำ เมนูนี้ทานเข้ากันกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เรียกว่า มากาโรน่า เป็นอย่างดีเลยค่ะ ปกติแล้วถ้าเราไปนั่งที่ร้านอาหารแม็กซิกัน พนักงานจะนำนาโช่ว์เปล่าๆมาให้ทานเล่นระหว่างรออาหาร ซึ่งเราสามารถขอเพิ่มได้ไม่จำกัดค่ะ จานนี้ถือเป็นหนึ่งในจานโปรดของเราเลยค่ะ ราคาอยู่ที่จานละ 450 บาท ค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ จานที่สามหนีจากแม็กซิกันไปสเปนกันบ้างนะคะ จานนี้เราจำชื่อไม่ได้ แต่จานนี้เป็นกุ้งทะเลย่างน้ำมันมะกอกแล้วนำมาบนซอสหมึกดำค่ะ ซอสจะมีรสชาติขมหมึกนิดๆ แต่อร่อยมาก ซอสมีความมันและหอมหมึกดำมากๆ ซอสเหนียวๆทานกับกุ้งสดตัวโต เข้ากันได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ จานนี้ถูกเสริฟเป็นอาหารทานเล่นนะคะ พอทานกุ้งหมดแล้ว อยากขอห่อซอสดำๆที่ติดจานกลับไปคลุกข้าวทานต่อที่บ้านเลยค่ะ อร่อยมาก ร้านอาหารสเปนร้านนี้อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แต่ต้องโทรไปจองก่อนเพราะมีจำนวนโต๊ะจำกัดค่ะ จานนี้ราคาอยู่ที่ 680 บาท ค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ จานที่สี่ก็ยังอยู่สเปนอยู่ค่ะ เรียกว่าปาเอล่าทะเล เป็นอาหารสเปนที่มีส่วนผสมของข้าว แต่ข้าวของสเปนไม่เหมือนข้าวไทยเรานะคะ ข้าวของเค้าจะแข็งกว่าและเม็ดแห้งๆ ก็แล้วแต่คนชอบเนอะ เอาเป็นว่าจานนี้อร่อยมากๆอีกตามเคยค่ะ ข้าวถูกคลุกด้วยเครื่องเทศหลายชนิดให้มีสีเหลืองอบกับกุ้ง หอย ปู ปลาหมึก และใส่ซอสหมึกดำที่รสชาติคล้ายๆกับจานกุ้งย่างข้างบน แต่เข้มข้นกว่า เสริฟร้อนๆ ซึ่งเราต้องคนให้เข้ากันเองนะคะ ตรงนี้พนักงานจะแนะนำตอนยกมาเสริฟค่ะ นี่ถือเป็นครั้งที่สองที่เราทานปาเอล่า บอกได้เลยว่ารสชาตินั้นคล้ายกันแต่แตกต่างกันไปตามสูตรของแต่ละร้านนะคะ โดยส่วนตัวแล้วเราว่าซอสหมึกดำทำให้รสชาติเข้มข้นขึ้นมากค่ะ จานนี้อยู่ที่ราคา 1050 บาท ค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ จานที่ 5 ข้ามมาที่ฝั่งของอาหารฟิวชั่นกันบ้าง สมัยนี้คนอเมริกันนิยมทำอาหารฟิวชั่นขายกันมากขึ้น คงเพราะสังคมของเค้าเป็นสังคมที่รวมคนจากหลายชาติหลายภาษา การประยุกต์อาหารของชาติต่างๆเข้าด้วยกัน ก็น่าจะดึงดูดลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ดังนั้นเราจึงเป็นอาหารฟิวชั่นได้แทบทั่วทุกย่านเลยค่ะ จานนี้เราทานที่ร้านอาหารนอกเมืองและเป็นร้านอาหารฝรั่งค่ะ จานนี้ชื่อว่า "ข้าวสยามราดเนื้อย่าง" เป็นการนำข้าวหอมมะลิไทยมาวางชั้นล่างสุด แล้วชั้นต่อไปเรียงขิงดอง ส่วนชั้นบนสุดวางเนื้อสเต็กย่างหั่น ราดด้วยซอสสไปซี่มาโย (มายองเนสเผ็ด) ซึ่งซอสสไปซี่มาโยก็มาจากการผสมศรีราชาซอสเข้ากับมายองเนส นั่นเอง ส่วนตัวเราแล้วชอบทานสไปซี่มาโยมากอยู่แล้ว พอได้มาทานเนื้อย่างกับข้าวหอมและถูกตัดเลี่ยนด้วยขิงดองและรสเผ็ดของซอสแล้ว เราคิดว่ามันใช่เลยค่ะ ทุกอย่างลงตัวกัน อาหารไทย(ข้าวหอมมะลิ) อาหารญี่ปุ่น(ขิงดองทานกับเนื้อย่าง) อาหารฝรั่ง (มายองเนส) เข้ากันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ จานนี้ราคาอยู่ที่ 450 บาทค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ จานที่ 6 เป็นอาหารในร้านหรูค่ะ เมนูนี้คือ ปลาคอดอบครีมซอสไวน์ขาวเห็ดทรัฟเฟิ่ล ส่วนรสชาตินั้นครีมมี่ และอร่อยตรงที่ความสดของวัตถุดิบ อาหารไม่ได้ปรุงมากนะคะ แต่อร่อยมากๆ ปลาคอดถูกวางไว้บนผัดโขมนุ่มๆ และราดด้วยซอสเห็ดทรัฟเฟิ่ล ซึ่งกลื่นและรสชาติของเห็ดนั้นคลุ้งไปทั่วทั้งปากเลยค่ะ ถือว่าอร่อยไม่รู้ลืมเลย จานนี้อยู่ที่ราคา 1,200 บาทค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ จานที่ 7 เป็นอาหารฟิวชั่นอีกจานที่เราคิดว่าไอเดียดีมาก จานนี้ขายในบาร์เด็กแนวฝรั่งนะคะ ชื่อว่า ซี่โครงหมูเกาหลีอบ การวางพาดเรียงกันทำให้ดูเยอะใช่ไหมคะ อิอิ จริงๆแล้วมันมาแค่ 4 ชิ้นเล็กๆเองค่ะ แอบผิดหวังนิดนึง แต่รสชาติของเค้าทำออกมาได้ดีเลยค่ะ แอบชะโงกหน้าไปดูในร้านในครัวไม่มีคนเอเชียเลยซักคน แต่รสชาติของซี่โครงนั้นหลับตาทานนึกว่าอยู่โซลเลยค่ะ อร่อยเผ็ดเข้มข้นรสโคชูจังมาก จานนนี้อยู่ที่ราคา 450 บาทค่ะ เราถือว่าขายไอเดียเพราะสำหรับเด็กนักเรียนอย่างเรา แพงไปนิดนึง อิอิ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ จานที่ 8 ก็ยังเป็นอาหารฟิวชั่นค่ะ เรียกว่าหมูสามชั้นอบซอสพิตาชิโอ้ จานนี้เราก็ทานในบาร์อินดี้ฝรั่งอีกแหละ เมนูทำออกมาน่าทานหลายอย่างเลย แต่จานนี้เราชอบที่สุด หมูสามชั้นคลุกซอสแล้วอบจนนิ่ม รสชาติก็จะเค็มนิดๆ วางบนซอสพิตาชิโอ้สีขาว เราว่าเค้าผสมมันฝรั่งกับครีม รสชาติเลยมันๆหอมๆ แล้วราดด้วยซอสเดิมที่ใช้คลุกหมูอบเป็นซอสสีดำๆ จากนั้นทางร้านก็โรยพิตตาชิโอ้ กับแครนเบอรี่สด เรียกว่า เค็ม มัน เปรี้ยว หวาน ครบรสเลยค่ะ อร่อยค่ะเป็นกับแกล้มชั้นดี อิอิ ราคาอยู่ที่ 450 บาท ค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ จานที่ 9 เป็นซีฟู๊ดนะคะ นั่นก็คือเมนูเลื่องชื่อของจังหวัดเมน นั่นก็คือล็อบเตอร์นั่นเองค่ะ เรียกได้ว่าใครไปใครมาก็ต้องแวะมาทานล็อบเตอร์ในฤดูร้อนกันให้ได้เลยทีเดียว และนี่คือร้านประจำของพวกเราค่ะ อร่อยเนื้อแน่น สด ราคาไม่แพง พอเราไปกันหลายคนและพูดภาษาไทยกัน เจ้าของร้านเลยเข้ามาคุยด้วย และด้วยความเมตตา เราเลยได้ไข่ล็อปเตอร์แถมมาด้วย ในจานที่เป็นก้อนสีแดงๆนั่นแหละค่ะ บอกเลยว่าเหมือนหัวกุ้งแก้วแต่นัวกว่ามากๆๆๆอร่อยมาก เราเองทานมาหลายตัวก็โชคไม่ดีไม่เคยได้ตัวที่มีไข่ใหญ่เท่านี้มาก่อนเลย วันนี้เลยทานแบบสะใจกันไปเลยค่ะ ราคาอยู่ที่ 3 ตัว 1000 บาท ค่ะ จานที่ 10 จานสุดท้ายของอาหารคาวแล้วค่ะ จานนี้คือ หอยนางรมสายพันธุ์ต่างๆ ไม่ใช่แค่คนเอเชียนะคะที่นิยมรับประทานหอยนางรมสด แต่ฝรั่งก็นิยมเหมือนกันเพราะเชื่อว่าบำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดีค่ะ แตกต่างกันตรงที่หอยนางรมของเค้าจะทานกับค๊อคเทลซอส รสชาติเปรี้ยวหวานคล้ายน้ำจิ้มสุกี้ และบีบมะนาวลงไป ความเย็นจัดของหอยที่เสริฟมาบนน้ำแข็งเราว่ายิ่งเสริมให้รสชาติมันดียิ่งขึ้น เพราะมันรู้สึกสดและมีรสชาติของน้ำทะเลอยู่ในตัวหอย อร่อยมาก มือแกะหอยก็ยืนแกะกันอยู่ด้านหลังให้เห็นจะๆเลยว่าสดจริงอะไรจริง จานนี้สั่งมาทาน 5 รอบค่ะ สำหรับสาวๆ 4 คน อิอิ ราคาอยู่ที่ตัวละ 30 บาทนะคะ เป็นราคาโปรโมชั่นสำหรับค่ำวันจันทร์ค่ะ ต่อไปเป็นคิวของเครื่องดื่มกันแล้วนะคะ บอกเลยว่าอเมริกันก็นิยมทานเครื่องดื่มที่ไม่แตกต่างไปจากของไทยมาก ทั้งกาแฟ ชาเขียว หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ตาม ไปเริ่มที่ลำดับแรกกันเลยค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ เครื่องดื่มเมนูแรก เมนูนี้เรียกว่า "มากาโรน่า" ค่ะ เหมือนที่กล่าวไปข้างต้นว่า มากาโรน่านั้นเข้ากันได้ดีกับนาโช่ว์มากๆๆ มาทีไรก็ต้องสั่งด้วยกัน แต่สาวๆระวังนะคะเพราะเครื่องดื่มชนิดนี้ค่อนข้างแรงมาก อิอิ มากาโรน่า เป็นลูกผสมระหว่าง คอคเทลชื่อ มาการิต้า กับ โคโรน่าเบียร์ นั่นเองค่ะ รสชาติก็เปรี้ยวหวาน ขม ซ่า อร่อยค่ะ ภาพตัดได้ใน 2 แก้ว ราคาอยู่ที่ 420 บาทค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ เครื่องดื่มเมนูที่ 2 ก็ยังหนีไม่พ้นแอลกอฮอล์ นั่นก็คือ คอคเทลที่มีชื่อว่า "ไหมไทย" นั่นเองค่ะ ถ้าไม่รู้ที่มาที่ไปเราคิดว่าไหมไทยนั้นเป็นของไทย แต่ที่จริงแล้วเป็นของจีนค่ะ ซึ่งรสชาติก็ไม่เหมือนกันในแต่ละร้าน และหาได้แทบทุกบาร์ในอเมริกา รสชาตินั้นก็หนักไปที่เปรี้ยวหวาน เป็นคอคเทลน้ำผลไม้ ที่ผสมกับดาร์กรัมและไวท์รัม และเช่นเคยค่ะ สาวๆพึงระวังเพราะภาพตัดได้ในแก้วที่ 2 เช่นกัน อิอิ ราคาแก้วที่เราถือในมืออยู่ที่ 450 บาทค่ะ เครดิตภาพโดยเจ้าของเรื่องนะคะ มาถึงเครื่องดื่มเมนูสุดท้ายกันแล้วนะคะเพื่อนๆ เมนูนี้คือ ชาเขียวมัชชะลาเต้ สัญชาติเกาหลีค่ะ จะเห็นได้ว่าเดี๋ยวนี้มีร้านขนมแนวเกาหลีผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดในอเมริกาเลยค่ะ ซึ่งสูตรและรสชาติของแต่ละร้านก็แตกต่างกันออกไป ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากที่เราทานในเมืองไทยเท่าไหร่นัก แก้วที่เห็นนี้รสชาติเข้มข้นมาก และเครื่องดื่มร้อนส่วนมากพนักงานจะไม่ใส่รสหวานให้เรานะคะ เราต้องเติมเอาเองที่เค้าเตอร์ ซึ่งมีให้เลือกทั้งน้ำผึ่ง น้ำเชื่อมวนิลา น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว เยอะแยะไปหมดเลยค่ะ ราคาก็มาตรฐานที่ 150 บาท ค่ะ เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับทั้งอาหารและเครื่องดื่มที่เรานำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ จะเห็นได้ว่าเมนูอาหารนั้นมีความหลากหลาย แต่ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากอาหารที่ขายในประเทศไทยเท่าไหร่นัก ซึ่งเป็นสัญญาณอันดีที่บ่งบอกถึงความเจริญก้าวหน้าในอุตสาหกรรมอาหารของไทยเราค่ะ การใช้ชีวิตต่างแดนนั้นถือว่าเป็นเรื่องดีที่เรามีโอกาสได้ทานอาหารและเครื่องดื่มที่แตกต่างหลากหลายและอาหารนั้นก็สามารถบ่งบอกถึงวัฒนธรรมของแต่ละชาติได้เป็นอย่างดี เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเพื่อนๆจะได้รับความเพลิดเพลินจากบทความของเราไม่มากก็น้อยนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ