กลับมากักตัวอยู่ที่บ้านเพราะโควิด 19 ทำให้ทำอาหารเป็นหลายอย่างเลย รวมถึงเมนูวันนี้ ผู้เขียนเห็นว่าเป็นอาหารที่ดีและมีประโยชน์ จึงภูมิใจนำเสนอ แกงขี้เหล็ก ชื่อนี้หลายๆ คนต้องรู้จักและคุ้นเคยแน่นอน แต่ผู้เขียนเชื่อแน่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะกินแกงขี้เหล็กได้ เพราะแกงขี้เหล็กเป็นที่มีรสขม ผักขึ้เหล็ก เป็นพืชสมุนไพร ที่มีชื่อเรียกตามแต่ละท้องถิ่น แต่อย่างไรก็ต้องขึ้นต้นด้วยคำว่าขี้เหล็กแทบทุกท้องถิ่น ภาคกลาง เรียก ขี้เหล็กใหญ่ ภาคใต้เรียก ขี้เหล็กจิหรี่ ภาคเหนือเรียก ขี้เหล็กหลวง ส่วนบ้านฉันภาคอีสานเรียก ขี้เหล็กขาว หรือ ขี้เหล็กแดง ก็ขึ้นกับพันธุ์ของผักขี้เหล็ก ขี้เหล็ก ส่วนใหญ่จะนิยมนำมาแกง เนื่องจากขี้เหล็กมีความขม ต้องต้มเอาน้ำทิ้งเพื่อเอาความขมออกก่อน แกงขี้เหล็กสามารถแกงได้ทั้งใส่กะทิ หรือแกงแบบใส่น้ำปลาร้าธรรมดา โดยต้องแกงใส่น้ำใบย่านาง ที่บ้านของฉัน แม่ไม่ชอบแกงใส่กะทิ แต่ส่วนตัวผู้เขียนชอบกินทั้งสองแบบ โดยเฉพาะแกงขี้เหล็กกะทิใส่หมูย่าง วันนี้ผู้เขียนจะนำเสนอแกงขี้เหล็กไม่ใส่กะทิ ซึ่งมีขั้นตอนการทำดังนี้ ขั้นตอนแรก นำขี้เหล็กที่เด็ดให้เหลือแต่ยอดอ่อน และใบอ่อน มาต้มในน้ำเดือด ต้องรอให้น้ำเดือดก่อนจึงใส่ผักขี้เหล็กลงไป เพราะถ้าใส่ก่อนน้ำเดือดผักขี้เหล็กจะดำ และถ้าใช้น้ำบาดาลต้มจะดีกว่าใช้น้ำฝน เพราะผักขี้เหล็กจะไม่เละ ต้มประมาณ 30-40 นาที โดยต้องคนเพื่อกลับด้านบ่อยๆ เพื่อให้ทั่วถึง ผักขี้เหล็กขาวจะต้มน้ำเดียว ส่วนขี้เหล็กแดงขมมากกว่าจะต้มสองน้ำ ขั้นตอนที่ 2 เมื่อผักขี้เหล็กสุกพอแล้ว (ไม่ขมมาก) รินน้ำออก พักไว้ ระหว่างนี้คั้นน้ำใบย่านาง เพื่อนำมาแกงขี้เหล็ก ขั้นตอนที่ 3 ใส่น้ำย่านางลงพร้อมกับผักขี้เหล็กที่ต้มสุกเตรียมไว้ ใส่หัวหอมแดงที่ตำรวมกับพริกแดง ปรุงด้วยเกลือ ปลาร้า ผงนัว ตะไคร้ ใบมะกรูด นำขึ้นตั้งไฟให้เดือด เดือดประมาณ 10 นาที ให้ชิม เมื่อได้รสที่ต้องการ ให้ใส่ใบหอมสด และ มะเขือพวง (ถ้ามี) และที่ขาดไม่ได้คือ ผักอีตู่ (ใบแมงลัก) คน 1 ครั้ง แล้วยกลงได้เลย ครั้งนี้แกงใส่น้ำปลาร้าไม่ใส่อะไรเลย แต่สามารถใส่กากหมู, หมู, ปลาย่าง หรือหนังวัวย่างก็ได้ขึ้นกับความชอบ ก็จะอร่อยไปอีกแบบ แต่ที่บ้านไม่ชอบใส่เนื้ออะไรเลย นอกจากนี้แกงขี้เหล็ก ยังเป็นยาระบาย ช่วยแก้อาการท้องผูก ทำให้หลับสบาย บำรุงเลือด ช่วยเจริญอาหาร ประโยชน์มากมายสมกับเป็นสุดยอดสมุนไพรใกล้ตัว ภาพประกอบโดย ผู้เขียน