11 วิธีลดไมโครพลาสติก ในอาหารที่เรากินทุกวัน ทำยังไงได้บ้าง มารู้กันเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ทุกวันนี้ไมโครพลาสติกได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตั้งแต่ในอากาศ น้ำดื่ม ไปจนถึงอาหารที่เรากินทุกวันค่ะ โดยอนุภาคของพลาสติกขนาดเล็กมักเกิดจากการเสื่อมสลายของพลาสติกในรูปแบบต่างๆ ทั้งจากบรรจุภัณฑ์ เสื้อผ้า ของใช้ในครัว หรือแม้แต่ฟองน้ำล้างจานที่เราคิดว่าไม่มีพิษภัย เมื่อสะสมมากขึ้นในระบบนิเวศ ไมโครพลาสติกก็สามารถย้อนกลับเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านห่วงโซ่อาหารโดยไม่รู้ตัว ปัญหานี้อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่ส่งผลจริงในระยะยาวค่ะ โดยเฉพาะต่อคุณภาพของอาหารและสุขอนามัยของเรา ซึ่งทั้งหมดเริ่มต้นจากพฤติกรรมเล็กๆ ภายในบ้านและครัวเรือนที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ทันที หลายคนอาจคิดว่าการลดไมโครพลาสติกเป็นเรื่องใหญ่หรือเป็นหน้าที่ของอุตสาหกรรม แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เราทำในชีวิตประจำวันมีผลโดยตรงต่อการเกิดและการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในอาหาร ตั้งแต่การเลือกภาชนะ การเก็บอาหาร การอุ่นอาหาร ไปจนถึงการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกกับของร้อน โดยทุกขั้นตอนเหล่านี้ล้วนมีส่วนกำหนดปริมาณไมโครพลาสติกที่เรารับเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาดูกันว่าพฤติกรรมง่ายๆ ที่เราทำได้เองในบ้าน ที่จะช่วยลดการเกิดไมโครพลาสติกในอาหารได้มีอะไรบ้าง และทำไมการเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ จึงเป็นก้าวสำคัญของการดูแลสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมในทุกครัวเรือน กับข้อมูลดังนี้ค่ะ 1. อย่าเทน้ำร้อนลงในขวดหรือแก้วพลาสติก การเทน้ำร้อนลงในขวดหรือแก้วพลาสติกเป็นพฤติกรรมที่หลายคนอาจมองว่าไม่เป็นอันตราย เพราะเห็นว่าเป็นเพียงการใช้งานชั่วคราว แต่ในความจริงแล้วอุณหภูมิสูงมีผลโดยตรงต่อโครงสร้างของพลาสติก เมื่อพลาสติกสัมผัสกับความร้อนจัด โพลิเมอร์ที่เป็นโครงสร้างหลักจะเริ่มแตกตัว ปล่อยอนุภาคขนาดเล็กหรือไมโครพลาสติกออกมา ซึ่งอาจปนเปื้อนในน้ำโดยที่เราไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าเป็นพลาสติกที่ไม่ได้ผลิตมาตามมาตรฐาน Food Grade หรือผ่านการใช้งานซ้ำหลายครั้ง โอกาสที่สารเคมีและอนุภาคเล็กเหล่านี้จะหลุดออกมาก็ยิ่งเพิ่มขึ้น การดื่มน้ำร้อนจากภาชนะประเภทนี้ในระยะยาวจึงอาจทำให้เรารับไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายสะสมโดยไม่รู้ตัว หากยังต้องการดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน สิ่งที่ควรทำคือเลือกภาชนะที่ออกแบบมาสำหรับรองรับอุณหภูมิสูง เช่น แก้วเซรามิก แก้วทนความร้อนแบบบอโรซิลิเกต หรือกระบอกน้ำสแตนเลสที่มีฉนวนกันความร้อน ซึ่งวัสดุเหล่านี้ไม่เพียงปลอดภัยกว่า แต่ยังคงอุณหภูมิได้ดีกว่าและไม่ปล่อยสารปนเปื้อนใดๆ ลงในน้ำ นอกจากนี้หากจำเป็นต้องใช้น้ำร้อนในการชงกาแฟหรือชา ควรเทน้ำร้อนใส่แก้วทนความร้อนก่อน แล้วค่อยเทลงภาชนะพลาสติกที่ใช้เก็บในอุณหภูมิปกติ เพื่อแยกขั้นตอนสัมผัสความร้อนโดยตรงออกจากพลาสติก การปรับพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ คือ ทางเลือกที่ช่วยลดไมโครพลาสติกในชีวิตประจำวันได้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในระดับครัวเรือนค่ะ 2. หลีกเลี่ยงอาหารที่อุ่นซ้ำในบรรจุภัณฑ์เดิม การอุ่นอาหารซ้ำในบรรจุภัณฑ์พลาสติกเดิมเป็นสิ่งที่หลายคนทำโดยไม่รู้ ว่ามีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกและสารเคมีในระดับที่มองไม่เห็น เพราะเมื่อพลาสติกได้รับความร้อนซ้ำๆ โครงสร้างของวัสดุจะค่อยๆ เสื่อมสภาพ ทำให้เกิดการแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กที่สามารถหลุดออกมาปะปนในอาหารได้ง่าย โดยเฉพาะกล่องใส่อาหารสำเร็จรูปหรือพลาสติกบางประเภทที่ไม่ได้ออกแบบมาให้ทนต่ออุณหภูมิสูง การอุ่นซ้ำหลายรอบจึงยิ่งเร่งให้กระบวนการเสื่อมนี้เกิดเร็วขึ้น นอกจากจะเสี่ยงต่อการปนเปื้อนแล้วยังทำให้อาหารมีกลิ่นหรือรสเปลี่ยนไปอย่างที่หลายคนไม่ทันสังเกต ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า คือ การย้ายอาหารออกจากบรรจุภัณฑ์เดิมก่อนอุ่นทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นไมโครเวฟ หม้อทอดไร้น้ำมัน หรือเตาไฟฟ้า ควรใช้ภาชนะที่ทนความร้อนโดยเฉพาะ เช่น แก้ว เซรามิก หรือภาชนะที่ระบุว่าใช้กับไมโครเวฟได้ การทำเช่นนี้ไม่เพียงลดการปนเปื้อนของไมโครพลาสติก แต่ยังช่วยรักษารสชาติและคุณภาพของอาหารให้ดีเหมือนเดิม การใส่ใจเพียงขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ ก่อนอุ่นอาหาร คือ แนวทางสำคัญของการดูแลสุขอนามัยอาหารในยุคที่พลาสติกแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกมื้อค่ะ 3. เลือกพลาสติกที่มีมาตรฐาน Food Grade เท่านั้น การเลือกใช้พลาสติกที่มีมาตรฐาน Food Grade ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในอาหารค่ะ เพราะพลาสติกที่ผ่านมาตรฐานนี้จะถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อให้สัมผัสกับอาหารได้อย่างปลอดภัย ไม่ปล่อยสารเคมีหรืออนุภาคขนาดเล็กเมื่อโดนความร้อนหรือความเป็นกรดด่าง โดยพลาสติกเกรดสำหรับอาหารจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติด้านความคงตัวและความปลอดภัย เช่น ไม่ละลาย ไม่แตกตัว และไม่ทำปฏิกิริยากับอาหารที่อยู่ข้างใน ซึ่งต่างจากพลาสติกทั่วไปที่มักผลิตเพื่อใช้บรรจุของใช้หรือของแห้ง และอาจปล่อยไมโครพลาสติกออกมาได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับของร้อนหรือของมัน การแยกให้ชัดว่าภาชนะชนิดใดเหมาะกับอาหาร จึงเป็นการป้องกันตั้งแต่ต้นทางไม่ให้สิ่งปนเปื้อนเล็ดลอดเข้าสู่ร่างกาย เวลาซื้อกล่องใส่อาหารหรือขวดน้ำ ควรสังเกตสัญลักษณ์บนบรรจุภัณฑ์ เช่น ตัวเลขรีไซเคิลหมายเลข 2 (HDPE) หรือ 5 (PP) ซึ่งเป็นชนิดที่ปลอดภัยและทนความร้อนได้ดี อีกทั้งควรมองหาคำว่า “Food Grade,” “BPA Free,” หรือ “สำหรับใส่อาหาร” ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนบนฉลาก การเลือกภาชนะที่มีมาตรฐานไม่เพียงช่วยลดการปนเปื้อนของไมโครพลาสติก แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของภาชนะและรักษาคุณภาพอาหารให้คงเดิม การให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้สะท้อนถึงความใส่ใจต่อสุขอนามัยของเราเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพราะทุกครั้งที่เลือกถูกคือการป้องกันไมโครพลาสติกไม่ให้ย้อนกลับมาสู่จานอาหารของเราในอนาคตค่ะ 4. ไม่อุ่นอาหารในภาชนะพลาสติก การอุ่นอาหารในภาชนะพลาสติกเป็นพฤติกรรมที่หลายคนคุ้นชิน โดยเฉพาะเวลาซื้ออาหารสำเร็จรูปหรือเก็บของกินไว้ในตู้เย็น แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อพลาสติกโดนความร้อนสูงจากไมโครเวฟหรือเตาไฟฟ้า โครงสร้างของพลาสติกจะเริ่มอ่อนตัวและปล่อยอนุภาคเล็กๆ ที่เรียกว่า “ไมโครพลาสติก” ออกมาปะปนกับอาหารโดยที่เรามองไม่เห็น ยิ่งหากภาชนะนั้นเป็นพลาสติกบางหรือไม่ได้ผลิตมาเพื่อทนความร้อนโดยตรง ก็ยิ่งเสี่ยงต่อการแตกตัวและปล่อยสารเคมี ซึ่งเป็นสารที่ไม่ควรเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนี้การอุ่นซ้ำหลายรอบในภาชนะเดิม ยังทำให้โครงสร้างพลาสติกเสื่อมเร็วขึ้น และกลายเป็นแหล่งปนเปื้อนที่เราไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังกินเข้าไปทุกวัน สิ่งที่ควรทำคือย้ายอาหารไปใส่ภาชนะที่เหมาะสมก่อนอุ่น เช่น จานเซรามิก ชามแก้ว หรือภาชนะที่มีสัญลักษณ์ระบุว่า “ใช้กับไมโครเวฟได้” ซึ่งผ่านการทดสอบแล้วว่าสามารถทนความร้อนได้โดยไม่ปล่อยสารอันตรายออกมา หากจำเป็นต้องใช้พลาสติก ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีมาตรฐาน Food Grade และไม่มีรอยขีดข่วนหรือเปลี่ยนสี เพราะนั่นบ่งบอกถึงการเสื่อมสภาพ การเลือกภาชนะให้ถูกชนิดและหลีกเลี่ยงการอุ่นในพลาสติก คือ การป้องกันไมโครพลาสติกตั้งแต่ต้นทาง และเป็นการดูแลสุขอนามัยอาหารที่ง่ายแต่ได้ผลในระยะยาวค่ะ 5. หลีกเลี่ยงการห่ออาหารที่ยังร้อนด้วยฟิล์มพลาสติกหรือถุงร้อน การห่ออาหารที่ยังร้อนด้วยฟิล์มพลาสติกหรือถุงร้อน เป็นสิ่งที่ดูสะดวกและพบเห็นได้ทั่วไปตามร้านอาหารหรือในครัวเรือนค่ะ แต่ในมุมมองของความปลอดภัยต่ออาหารแล้วถือเป็นจุดเสี่ยงสำคัญ เพราะเมื่อพลาสติกสัมผัสกับความร้อนสูง โมเลกุลของพลาสติกจะเริ่มอ่อนตัวและปล่อยสารเคมีออกมา ซึ่งสามารถซึมเข้าไปในเนื้ออาหารได้โดยตรง โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำมันหรือมีความเป็นกรด เช่น แกงหรือของทอด ความร้อนจากอาหารจะเร่งให้สารเคมีหลุดออกมามากขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว และเมื่อรับเข้าสู่ร่างกายสะสมเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อระบบต่างๆ ภายใน รวมถึงเป็นแหล่งของไมโครพลาสติกที่เกิดจากการเสื่อมของฟิล์มหรือถุงร้อน วิธีที่ปลอดภัยกว่า คือ รอให้อาหารอุ่นก่อนแล้วค่อยห่อหรือเก็บลงภาชนะ หากจำเป็นต้องเก็บอาหารร้อนจริงๆ ควรใช้วัสดุที่ปลอดภัยต่อความร้อน เช่น กล่องแก้วทนความร้อน ภาชนะเซรามิก หรือวัสดุธรรมชาติอย่างใบตองและกระดาษขี้ผึ้ง ซึ่งไม่ปล่อยสารเคมีเมื่อโดนความร้อน การเปลี่ยนจากฟิล์มพลาสติกเป็นทางเลือกเหล่านี้ ไม่เพียงช่วยลดการปนเปื้อนไมโครพลาสติกในอาหาร แต่ยังช่วยลดปริมาณพลาสติกใช้ครั้งเดียวที่เป็นต้นเหตุของปัญหาขยะและมลพิษในสิ่งแวดล้อมด้วย การปรับเปลี่ยนเล็กน้อยในขั้นตอนเก็บอาหาร จึงมีความหมายต่อสุขอนามัยและความยั่งยืนมากกว่าที่หลายคนคิดค่ะ 6. อย่าเทน้ำมันทอดร้อนลงในภาชนะพลาสติก การเทน้ำมันทอดที่ยังร้อนจัดลงในภาชนะพลาสติก เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งค่ะเพราะความร้อนจากน้ำมันที่อุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาเซลเซียส สามารถทำให้โครงสร้างของพลาสติกอ่อนตัวและละลายได้ภายในไม่กี่วินาที เมื่อพลาสติกเริ่มเสื่อมสภาพจะปล่อยทั้งสารเคมีและไมโครพลาสติกออกมาปะปนในน้ำมันที่เรากำลังเก็บไว้ใช้ซ้ำ อีกทั้งสารเหล่านี้อาจทำปฏิกิริยากับไขมันจนเกิดสารประกอบที่เป็นอันตรายต่อสุขอนามัยของอาหาร การเทน้ำมันร้อนลงในภาชนะพลาสติก จึงไม่เพียงทำให้ภาชนะเสียรูปหรือแตกตัวเร็วขึ้น แต่ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนที่มองไม่เห็นในอาหารโดยตรงโดยเฉพาะหากต้องการนำมาใช้ซ้ำในภายหลัง วิธีที่ปลอดภัยกว่า คือ การรอให้น้ำมันเย็นลงก่อนจึงเทใส่ภาชนะ หรือเลือกใช้ภาชนะที่ทนความร้อนโดยเฉพาะ เช่น เหล็ก สแตนเลส หรือแก้วบอโรซิลิเกตที่สามารถรับอุณหภูมิสูงได้โดยไม่ปล่อยสารเคมี นอกจากนี้หากตั้งใจจะกรองน้ำมันเพื่อเก็บไว้ใช้ซ้ำ ควรใช้ตะแกรงโลหะหรือกระดาษกรองอาหารแทนการใช้พลาสติก เพื่อป้องกันเศษอาหารไหม้และไมโครพลาสติกไม่ให้สะสมในน้ำมันเก่าที่เราจะนำกลับมาใช้ การดูแลรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ คือ แนวทางที่ช่วยยืดอายุของน้ำมันให้ปลอดภัยขึ้น พร้อมทั้งลดโอกาสที่ไมโครพลาสติกจะย้อนกลับมาสู่จานอาหารของเราในทุกมื้ออย่างค่อยเป็นค่อยไปค่ะ 7. ไม่ใช้ช้อนส้อมพลาสติกกับอาหารร้อนจัด การใช้ช้อนส้อมพลาสติกกับอาหารร้อน จัดเป็นสิ่งที่หลายคนทำโดยไม่ทันคิด โดยเฉพาะเวลาซื้ออาหารจากร้านสะดวกซื้อหรือสั่งอาหารเดลิเวอรี เพราะมักได้ช้อนส้อมพลาสติกมาในชุดเดียวกัน แต่สิ่งที่ควรรู้คือพลาสติกที่ใช้ทำช้อนส้อมส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกออกแบบให้ทนความร้อนสูง เมื่อสัมผัสกับของร้อนจัด เช่น ซุป บะหมี่ หรืออาหารที่เพิ่งยกลงจากเตา โครงสร้างของพลาสติกจะเริ่มอ่อนตัวและอาจปล่อยเศษไมโครพลาสติกหรือสารเคมีออกมาปะปนในอาหารได้โดยตรง การรับประทานอาหารที่ปนสารเคมีซ้ำๆ แม้เพียงเล็กน้อยก็อาจเพิ่มภาระให้กับร่างกายในระยะยาวค่ะ วิธีป้องกันง่ายที่สุด คือ กรพกช้อนส้อมส่วนตัวที่ทำจากสแตนเลสหรือไม้ ซึ่งสามารถใช้ได้ซ้ำและทนความร้อนได้โดยไม่ปล่อยสารเคมี อีกทางหนึ่งคือหากจำเป็นต้องใช้ช้อนส้อมพลาสติก ควรรอให้อาหารอุ่นลงเล็กน้อยก่อนจึงใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสความร้อนโดยตรง การใส่ใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้มีช่วยลดการปนเปื้อนไมโครพลาสติกในอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยลดขยะพลาสติกใช้ครั้งเดียวที่เป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวอีกด้วย เพราะทุกมื้อที่เราเลือกใช้อย่างระมัดระวังคือการดูแลทั้งสุขอนามัยของเราเองและโลกใบนี้ไปพร้อมกันค่ะ 8. ไม่ใช้พลาสติกที่มีรอยขีดข่วนหรือเปลี่ยนสี ภาชนะพลาสติกที่มีรอยขีดข่วนหรือเปลี่ยนสีอาจดูเหมือนยังใช้ได้ แต่แท้จริงแล้วถือเป็นสัญญาณของการเสื่อมสภาพที่ควรระวังค่ะ เพราะเมื่อพลาสติกถูกใช้งานซ้ำ ถูกล้างด้วยฟองน้ำแข็ง หรือสัมผัสกับความร้อนบ่อยครั้ง โครงสร้างของวัสดุจะเริ่มแตกร้าวในระดับไมโคร ทำให้อนุภาคเล็กๆ หลุดออกมาปะปนในอาหารได้ง่ายขึ้น ยิ่งมีรอยขีดข่วนมากเท่าไหร่ พื้นผิวนั้นก็ยิ่งเป็นจุดที่สะสมทั้งเศษอาหาร จุลินทรีย์ และไมโครพลาสติกที่มองไม่เห็น การใช้ภาชนะที่เสื่อมสภาพเช่นนี้ต่อไปจึงเท่ากับเพิ่มความเสี่ยงในการรับสิ่งปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายโดยตรงโดยที่เราไม่รู้ตัว อีกทั้งการเปลี่ยนสี เช่น ขุ่น เหลือง หรือมีคราบฝังแน่น ยังบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีภายในเนื้อพลาสติกซึ่งไม่ควรสัมผัสกับอาหารอีกต่อไป ทางที่ดีที่สุด คือ การหมั่นตรวจเช็กภาชนะที่ใช้เป็นประจำ โดยเฉพาะกล่องข้าว ขวดน้ำ หรือภาชนะเก็บอาหาร หากเริ่มเห็นรอยชัดหรือสีเปลี่ยน ควรแยกออกจากการใช้งานใส่อาหารทันที และเปลี่ยนเป็นของใหม่ที่ได้มาตรฐาน Food Grade หรือเลือกใช้ภาชนะจากวัสดุที่ทนทานกว่า เช่น แก้ว สแตนเลส หรือเซรามิก ซึ่งแม้มีราคาสูงกว่าเล็กน้อยแต่ปลอดภัยกว่าในระยะยาวค่ะ การใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างการไม่ใช้พลาสติกที่เสื่อมสภาพ คือการลดโอกาสที่ไมโครพลาสติกจะเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว และยังเป็นการยืดอายุการใช้งานของของใช้ในบ้านอย่างยั่งยืนอีกด้วยนะคะ 9. ระวังการใช้ถุงพลาสติกหิ้วของร้อนจากร้านอาหาร การใช้ถุงพลาสติกหิ้วของร้อนจากร้านอาหารเป็นสิ่งที่เราทำกันจนชิน โดยเฉพาะเมื่อซื้อแกง น้ำซุป หรืออาหารที่มีน้ำมัน แต่ในมุมของความปลอดภัยทางอาหารแล้วถือว่าเป็นจุดที่ไมโครพลาสติกสามารถเกิดขึ้นได้ทันที เพราะถุงพลาสติกส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทนความร้อนสูง เมื่อสัมผัสกับของร้อนจัด พลาสติกจะเริ่มละลายและปล่อยสารเคมี ซึ่งสามารถซึมเข้าไปในอาหารได้โดยตรงโดยที่เราไม่รู้ตัว ยิ่งอุณหภูมิของอาหารสูงมากเท่าไร การละลายของพลาสติกและการปล่อยสารก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อความปลอดภัยของอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มปริมาณไมโครพลาสติกที่เรารับเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัวอีกด้วยค่ะ และแนวทางที่ปลอดภัยกว่า คือ การพกกล่องอาหารส่วนตัวที่ทำจากแก้วหรือสแตนเลสไว้ใช้เมื่อซื้อของร้อนจากร้านค้า หรือหากจำเป็นต้องใช้ถุงพลาสติก ควรขอให้ร้านรอให้อาหารเย็นลงก่อนจึงบรรจุ หรือเลือกใช้ถุงที่มีสัญลักษณ์ Food Grade ซึ่งสามารถทนความร้อนได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้การส่งเสริมให้ร้านค้าใช้วัสดุทางเลือก เช่น ถุงกระดาษ กล่องเยื่อพืช หรือถุงผ้า ก็เป็นอีกแนวทางที่ช่วยลดการสัมผัสระหว่างของร้อนกับพลาสติกโดยตรง การใส่ใจเพียงเล็กน้อยในขั้นตอนนี้ไม่เพียงช่วยลดไมโครพลาสติกในอาหาร แต่ยังเป็นการร่วมมือกันดูแลสิ่งแวดล้อมจากขยะพลาสติกที่ย่อยสลายยากอีกด้วยค่ะ 10. อย่าต้มอาหารในถุงพลาสติกแม้จะเขียนว่า “ทนร้อน” การต้มอาหารในถุงพลาสติกแม้จะมีคำว่า “ทนร้อน” พิมพ์อยู่บนฉลากก็ตาม เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะคำว่า “ทนร้อน” ไม่ได้หมายความว่าพลาสติกชนิดนั้นสามารถสัมผัสกับอุณหภูมิเดือดได้อย่างปลอดภัยเสมอไปค่ะ ถุงพลาสติกส่วนใหญ่ผลิตจากโพลิเอทิลีน (PE) หรือโพลิโพรพิลีน (PP) ซึ่งแม้จะทนความร้อนได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาเซลเซียส เช่น ขณะต้มเดือด พลาสติกจะเริ่มอ่อนตัวและปล่อยสารเคมี รวมถึงไมโครพลาสติกออกมาปะปนในอาหารได้โดยตรง โดยเฉพาะหากเป็นถุงราคาถูกหรือไม่มีมาตรฐาน Food Grade ความเสี่ยงจะยิ่งสูงขึ้น เพราะกระบวนการผลิตอาจมีสารเติมแต่งหรือสีที่ไม่เหมาะสำหรับสัมผัสอาหาร วิธีที่ปลอดภัยกว่า คือ การต้มอาหารโดยไม่ให้พลาสติกสัมผัสกับความร้อนโดยตรง เช่น หากต้องการอุ่นอาหารที่บรรจุในถุง ควรตัดอาหารออกจากถุงก่อนแล้วใส่หม้อหรือภาชนะที่ทนความร้อน เช่น หม้อสแตนเลส แก้ว หรือเซรามิกแทน หรือถ้าต้องการอุ่นแบบแช่น้ำร้อน ให้ใช้ถุงสุญญากาศชนิดที่ระบุชัดว่า “ใช้สำหรับ Sous Vide” ซึ่งผ่านการทดสอบความปลอดภัยในการทนความร้อนระดับ 90–95 องศาเซลเซียสโดยไม่ปล่อยสารเคมีออกมา การหลีกเลี่ยงการต้มอาหารในถุงพลาสติกจึงไม่เพียงช่วยลดการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นการรักษาคุณภาพของอาหารและดูแลสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมในครัวของเราอย่างรอบด้านค่ะ 11. อย่าวางกล่องพลาสติกไว้กลางแดดหรือในรถร้อนๆ รู้ไหมคะว่า การวางกล่องพลาสติกไว้กลางแดดหรือในรถที่ร้อนจัดเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างมาก เพราะอุณหภูมิในรถที่ปิดหรือพื้นที่กลางแดดสามารถสูงได้ถึง 60–70 องศาเซลเซียส ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้โครงสร้างของพลาสติกเริ่มอ่อนตัวและเสื่อมสภาพได้ แม้จะไม่ได้สัมผัสกับความร้อนโดยตรงจากเตา แต่ความร้อนสะสมจากแสงแดดสามารถเร่งให้พลาสติกแตกตัวเป็นอนุภาคขนาดเล็กหรือไมโครพลาสติกได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะพลาสติกที่บรรจุน้ำดื่ม อาหาร หรือผลิตภัณฑ์ที่เราตั้งใจเก็บไว้ใช้ภายหลัง เมื่อโครงสร้างเริ่มเปลี่ยน สารเคมีบางชนิดจะละลายออกมาปะปนในของเหลวหรืออาหารที่อยู่ภายในโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งนอกจากจะกระทบต่อคุณภาพของอาหารแล้วยังเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขอนามัยของผู้บริโภคในระยะยาวอีกด้วย โดยแนวทางที่ปลอดภัย คือ ไม่เก็บภาชนะพลาสติกไว้ในรถหรือบริเวณที่มีแสงแดดส่องโดยตรง โดยเฉพาะขวดน้ำดื่มและกล่องใส่อาหาร หากจำเป็นต้องพกติดรถ ควรเก็บไว้ในที่ร่มหรือในกระเป๋าฉนวนกันความร้อน และไม่ควรนำขวดน้ำที่เคยวางตากแดดมาดื่มซ้ำ นอกจากนี้ควรเลือกใช้ขวดหรือภาชนะที่ทำจากวัสดุทนร้อน เช่น สแตนเลสหรือแก้ว ซึ่งสามารถทนต่ออุณหภูมิสูงได้โดยไม่เสื่อมสภาพง่าย การหลีกเลี่ยงการวางพลาสติกกลางแดดอาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่เป็นจุดสำคัญที่ช่วยลดการเกิดไมโครพลาสติกในอาหารและเครื่องดื่มของเราได้อย่างมาก พร้อมทั้งช่วยยืดอายุการใช้งานของภาชนะให้ปลอดภัยและคงทนยิ่งขึ้นค่ะ ที่โดยสรุปแล้วไมโครพลาสติกไม่ได้เกิดจากกระบวนการอุตสาหกรรมเท่านั้นค่ะ แต่เกิดจากพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันของเราที่สะสมผลกระทบโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่การเทของร้อนลงในกล่องพลาสติก การอุ่นอาหารซ้ำในบรรจุภัณฑ์เดิม หรือแม้แต่การวางขวดน้ำไว้ในรถที่จอดกลางแดด ทุกเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของการปล่อยอนุภาคพลาสติกจิ๋วที่มองไม่เห็น ซึ่งสุดท้ายแล้วจะย้อนกลับมาสู่ร่างกายของเราในรูปของอาหาร น้ำ หรืออากาศ การมองภาพใหญ่ของปัญหานี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าไมโครพลาสติกไม่ได้อยู่ไกลตัวเลย แต่แฝงอยู่ในทุกพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความร้อนและภาชนะบรรจุอาหาร การเริ่มเปลี่ยนความเข้าใจเล็กๆ เหล่านี้จึงเท่ากับเริ่มต้นสร้างระบบป้องกันที่สำคัญต่อทั้งสุขอนามัยของเราและสิ่งแวดล้อมรอบตัว และสิ่งที่เราสามารถทำได้ทันที คือ ปรับพฤติกรรมในการเลือกใช้ภาชนะให้เหมาะกับประเภทของอาหารและอุณหภูมิ เช่น แยกภาชนะสำหรับของร้อนและของเย็น เลือกวัสดุที่ปลอดภัยต่ออาหารอย่างแก้ว เซรามิก หรือสแตนเลส และหลีกเลี่ยงการนำพลาสติกที่มีรอยขีดข่วนหรือขุ่นหมองกลับมาใช้ซ้ำ เพราะนั่นคือสัญญาณของการเสื่อมสภาพ การปรับเพียงเล็กน้อยในครัวเรือน เช่น ใช้ภาชนะทนร้อนหรือภาชนะ Food Grade อย่างถูกประเภท อาจดูไม่สำคัญในตอนแรก แต่เมื่อทำต่อเนื่องจะลดปริมาณไมโครพลาสติกที่เข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีนัยสำคัญ และช่วยลดการปล่อยสารเคมีสู่สิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย ซึ่งในภาพรวมระดับครอบครัวและชุมชน การสร้างความเข้าใจเรื่องไมโครพลาสติกควรเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดเรื่องสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนเข้าถึงได้ เพราะเมื่อเราตระหนักร่วมกันมากขึ้น พฤติกรรมของทั้งบ้านจะเปลี่ยน เช่น การพกกล่องอาหารส่วนตัวไปซื้อของ การใช้วัสดุธรรมชาติแทนพลาสติก การแยกขยะก่อนทิ้ง และการลดพลาสติกใช้ครั้งเดียว สิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นพร้อมกันจะสร้างผลลัพธ์ใหญ่ในระยะยาว ที่ช่วยให้ทั้งอาหาร น้ำ และสิ่งแวดล้อมสะอาดขึ้นอย่างยั่งยืน การลดไมโครพลาสติกจึงไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่คือเรื่องของการปกป้องสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตของเราเองในทุกมื้อที่กินอยู่ทุกวันค่ะ สำหรับที่นี่เมื่ออาหารที่ทำไว้มากและต้องจัดเก็บ ผู้เขียนก็ตระหนักเสมอว่าต้องปล่อยให้เย็นก่อนตักใส่กล่องและจัดเก็บในตู้เย็นค่ะ และในส่วนของการเลือกกล่องสำหรับใส่อาหารนั้น ก็ซื้อแบบที่เหมาะสมสำหรับใส่อาหาร เมื่อมีสภาพไม่ดีก็จะนำไปขายเป็นขยะรีไซเคิลค่ะ ยังไงนั้นคุณผู้อ่านเองก็ควรตระหนักในเรื่องนี้นะคะ และอย่าลืมนำแนวทางข้างต้นไปประยุกต์ในกันค่ะ และด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากคุณผู้อ่านชื่นชอบเนื้อหาแนวนี้ อย่าลืมกดติดตามหรือบันทึกโปรไฟล์ไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดข้อมูลใหม่ๆ ในบทความถัดไป หากสนใจอ่านบทความทั้งหมดของผู้เขียน ก็สามารถกดเข้าไปดูได้จากโปรไฟล์เช่นกันค่ะ #ไมโครพลาสติก #สุขาภิบาลอาหาร #ความปลอดภัยของอาหาร #FoodSanitation #FoodSafety เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก ถ่ายภาพโดย Freepik จาก FREEIK และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา ถ่ายภาพโดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล วิธีเลือกกล่องพลาสติก สำหรับใส่อาหาร คุณภาพดี น่าซื้อ 12 แนวทางกรณีไม่มีพลาสติกแรปอาหาร ใช้อะไรแทนกันได้บ้าง ทำไง 9 ความไม่ปลอดภัยในอาหาร ที่พบได้บ่อย และนำความเจ็บป่วยมาให้ หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !