ในการเลือกจองที่พักไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนทั้งในและต่างประเทศ สิ่งที่เรามักจะดูก็คือว่าที่พักนั้น ได้รวมอาหารเช้าไว้กับราคาที่พักแล้วหรือไม่ ถ้ารวมอาหารเช้า ก็เป็นข้อเสนอที่ดีอีกตัวเลือกหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจจอง ถ้าเป็นการจองโรงแรมหรูแล้วได้อาหารเช้าที่ดี ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับจองที่พักแบบเกสต์เฮ้าส์ราคาประมาณ 500 - 1,000 บาท เราคงคาดหวังมากไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ที่ศรีลังกา เพราะว่าที่นี่ เกสต์เฮ้าส์เสิร์ฟอาหารเช้ากันแบบมาตรฐานกินอิ่ม ไปจนถึงอลังการมาก ถึงขั้นกินกันไม่หมด สิ่งที่ต้องมีในแต่ละมื้อเช้าในทุกที่ก็คือขนมปังปิ้ง ไข่ดาว แยมและเนย ผลไม้ตามฤดูกาลได้แก่ สับปะรด กล้วยน้ำว้า มะละกอ เครื่องดื่มเป็นชาซีลอน น้ำผลไม้ ไม่เพียงเท่านั้น บางเกสต์เฮ้าส์ได้เสิร์ฟอาหารเช้าแบบศรีลังกาเพิ่มมาด้วย เรียกชื่ออาหารว่า ฮอปเปอร์(แผ่นแป้งกลมตรงกลางนิ่มขอบกรอบ)และสตริงฮอปเปอร์(คล้ายเส้นหมี่หรือก๋วยเตี๋ยวหลอด) โดยจะรับประทานคู่กับแกงกะหรี่ แกงมาซาลา และยังเสิร์ฟข้าวกีไรซ์แบบหุงกับเนยใส่เครื่องเทศและธัญพืชเพิ่มไปอีก การรับประทานอาหารใช้มือหยิบใส่ปากได้ ถือเป็นเรื่องปกติของที่นี่ สิ่งที่น่าประทับใจคือน้ำส้มคั้น แม่ครัวเขาคั้นน้ำส้มคั้นสด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาแยมที่ทาขนมปัง บางแห่งเป็นแยมโฮมเมดทำกันเอง เรียกว่าสดใหม่กวนเองกับมือ ดังนั้นรสชาติอาหารเช้าจึงดีมาก แยมมีเนื้อผลไม้เข้มข้น ความหวานกำลังดี มีแยมสับปะรด แยมส้ม และแยมอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งก็เพิ่งเคยชิมนั่นคือแยมมะขวิด จากการได้พูดคุยสอบถามทำให้รู้ว่า วัฒนธรรมการกินและการทำอาหารของชาวศรีลังกา เป็นสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเช้า วิถีชีวิตของพวกเขาจะไม่เร่งรีบจนเกินไปในช่วงเวลาเช้า สังเกตว่าการนัดหมาย จะออกไปเที่ยว เขาไม่แนะนำให้ออกเช้าเกินไป เพราะว่าจะต้องรับประทานอาหารเช้าเสียก่อน หรืออย่างเป็นมื้ออาหารเย็น พวกเขาจะรับประทานกันค่อนข้างค่ำ อาจจะถึงสองทุ่ม เนื่องจากเกือบทุกบ้านทำอาหารด้วยตนเอง แม่ครัวของแต่ละบ้านจะเดินเข้ามาช่วยกันทำอาหารในครัวอีกบ้านหนึ่ง ในกรณีที่อาหารชนิดนั้นต้องใช้หลายคนช่วยกันทำ ช่วงเวลาที่พวกเรารับประทานอาหารเช้ากันอย่างมีความสุข พวกเขาจะมาเมียงมอง และมีความสุขไปด้วย แม้ว่าเวลานั้นเราอิ่มมาก แต่ด้วยสายตาของพวกเขา ประกอบกับอาหารบนโต๊ะมีมากมาย ทำให้เราต้องกินเพิ่มไปอีก เรียกว่ามื้อนั้นถึงขั้นแน่นท้องกันทีเดียว