คนไทยเคยกินหมากจนเป็นวัฒนธรรมมาจนถึงปีพ.ศ.2482 สมัยจอมพลป.พิบูลสงคราม ตามนโยบายรัฐนิยม หนึ่งในข้อปฏิบัติ ได้สั่งห้ามคนไทยเคี้ยวหมากและบ้วนหมากในที่สาธารณะ บอกว่าการมีฟันสีดำไม่เป็นอารยชนและหน้าแก่เกินวัย ปัจจุบันตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ สิ่งของจัดแสดงแบบพื้นบ้าน ไม่ว่าจะเป็นตามวัดวาอารามหรือของชุมชน มักจะเห็นเชี่ยนหมากอยู่ภายในตู้จัดแสดงอยู่เสมอ ลวดลายของเชี่ยนหมากแต่ละชุด มีเป็นเอกลักษณ์สวยงาม แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการกินหมากของคนสมัยก่อน ภายในเชี่ยนหมากประกอบด้วย เต้าใส่ปูนเอาไว้ใส่ปูนแดง น้ำปูน ใบพลู หมากหั่นชิ้นบางๆอาจเป็นหมากสดหรือหมากแห้ง ยาเส้นใช้ขัดฟันเพื่อเอายางของหมากพลูออกไป กรรไกรหนีบหมาก ขี้ผึ้งไว้ทาฝีปากเวลาปากแห้ง การเคี้ยวหมากเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของอาเซียน ปัจจุบันในประเทศพม่ายังคงมีวัฒนธรรมการกินหมากอยู่ เราจะเห็นร้านขายหมากเป็นเรื่องเป็นราว เหตุผลของการยกเลิกการกินหมากของประเทศไทยก็ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นคือไม่อยากให้บ้านเมืองสกปรกเพราะคนกินหมากมักจะบ้วนน้ำหมากจนเลอะเทอะเป็นรอยติดอยู่ตามถนนหนทาง ทำให้บ้านเมืองไม่ทันสมัย เหตุนี้ส่งผลทำให้การค้าขายผลหมาก พืชยอดนิยมของสมัยก่อนลดน้อยลงไปด้วย ปัจจุบันชุดหมากพลูของไทยยังคงเห็นอยู่เวลาไหว้เจ้าที่ไหว้ศาล อันเนื่องมาจากวิญญาณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเราเคารพนับถือ เชื่อกันว่าก่อนนี้เป็นคนโบราณ เป็นวิญญาณอมตะ ย่อมโปรดปรานการเคี้ยวหมากและสูบยาเส้น ถ้าไปอ่านหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์ ในเรื่องของวิถีชีวิตผู้คนจะพบว่าคนสมัยก่อนฟันดำเป็นเอกลักษณ์จากการเคี้ยวหมาก แม้ว่าการเคี้ยวหมากจะดูมีข้อเสียจนต้องรณรงค์และบังคับให้เลิกกิน แต่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ใดๆเลย การกินหมากได้สรรพคุณทางสมุนไพรของพืช ใบพลูสดแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ หมากมีสารทำให้ร่างกายสดชื่น เจริญอาหาร ดับกลิ่นปาก ทำให้เหงือกแข็งแรง ปูนแดงเป็นกระสายยาแก้อาการท้องเสีย แม้ว่าทุกวันนี้ในประเทศไทยคนกินหมากจะมีน้อยมาก แต่ด้วยคุณสมบัติการเป็นพืชสมุนไพรของต้นหมากที่นำมาใช้ได้หมดทั้งผล เมล็ด ใบ ราก และยังเป็นต้นไม้สวยงามในการจัดสวน ต้นหมากและหมากพลูจึงยังคงมีให้เห็น แม้จะไม่ได้นำบริโภคกันแพร่หลายเหมือนวันวาน