จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ขับรถแค่ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว ถ้าไม่นับวัดวาอารามและสถานท่องเที่ยวที่น่าสนใจ บรรดาร้านอาหารก็เป็นไฮไลท์สำคัญที่ต้องไปแวะเวียนลองลิ้มชิมรสกันให้ได้ จากที่ได้ค้นหาข้อมูลไว้ล่วงหน้าก็ไปสะดุดตากับร้านอาหารสุดสวยสไตล์ฟิวชั่น ตั้งอยู่ริมแม่น้ำพอดิบพอดี สิ่งที่สนใจมากที่สุดคือที่นั่งเอาท์ดอร์ด้านนอก มีเสื่อมีหมอนเตรียมไว้ให้นั่งเล่นพร้อมสรรพ เห็นรูปแล้วน่านั่งน่าชิลเสียนี่กระไร หลังจากดูข้อมูลเรียบร้อยแล้วก็โทรไปจองที่นั่งโดยหวังว่าจะได้นั่งริมน้ำ ตอนจองก็ไม่ได้ระบุตำแหน่งที่นั่งอะไร เพราะคิดว่าอย่างไรก็คงได้นั่งริมน้ำแน่นอน ครั้นเมื่อถึงเวลาก็รีบบึ่งรถไปที่ร้านทันทีตั้งใจว่าจะไปดูพระอาทิตย์ตกน้ำด้วย เมื่อขับรถไปถึงร้านจะมีที่จอดรถอยู่ด้านหน้าเป็นพื้นที่กว้างขวางจอดรถได้มากมาย พอจอดรถแล้วก็เดินเข้าไปในร้านแจ้งชื่อจองกับพนักงาน ปรากฏว่าที่นั่งริมน้ำเต็ม แอบผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไรเลือกที่นั่งด้านนอกก็ได้ยังพอได้เห็นวิวแม่น้ำบ้าง บรรยากาศของร้านจะตกแต่งสไตล์โมเดิร์น มีพื้นที่รับประทานอาหารในห้องแอร์เหมาะสำหรับจัดเลี้ยงกับกลุ่มครอบครัว บริเวณด้านนอกโดยรอบจัดตกแต่งด้วยต้นไม้นานาชนิดดูคล้ายสวนหลังบ้าน ริมน้ำมีศาลาที่นั่งชมวิวโดยเว้นพื้นสนามหญ้าตรงกลางไว้เป็นพื้นที่โล่ง จัดเตรียมเสื่อและที่นั่งเอาไว้สำหรับนั่งชิล ซึ่งเป็นตำแหน่งยอดนิยมของร้านนี้ เมื่อแขกเข้ามานั่งโต๊ะ ระหว่างที่เลือกดูเมนูพนักงานจะนำน้ำเย็นผสมชิ้นเลมอนมาเสิร์ฟ ดื่มแล้วชื่นใจมากมาย ระหว่างนั้นก็เปิดดูเมนูอาหารไปด้วย เมนูส่วนใหญ่จะเป็นอาหารไทย์สไตล์ฟิวชั่น มีครบถ้วนทั้งอาหารว่าง อาหารหลัก ขนมนมเนย และเครื่องดื่ม เมนูของเขาดูแล้วเหมือนนิตยสารอ่านแล้วเพลินเสียเหลือเกิน ทั้งรูปภาพการจัดวางหน้า ดูแล้วเพลินตาเพลินใจจนเกือบลืมสั่งอาหารไปเลย ดูจากรูปในเมนูแล้วจินตนาการได้ว่าอาหารที่จัดเสิร์ฟมาแต่ละจานคงจะเหมือนกับถอดออกมาจากนิตยสารแน่นอน เอาไว้รอลุ้นกันตอนพนักงานยกมาเสิร์ฟก็แล้วกัน เมนูที่สั่งมาถึงเรียบร้อยแล้วมีทั้งสปาเก็ตตี้ ข้าวผัด และหมูทอด เอาล่ะเริ่มลุยกันทีละจาน สปาเก็ตตี้แซลมอน (350 บาท) เส้นสปาเก็ตตี้ต้มมากำลังดี ครีมซอสรสชาติกลาง ๆ เด็กทานได้กำลังพอดี ปลาแซลมอนกริลมาสุกไปสักเล็กน้อย แต่รับประทานรวมกันก็อร่อยดี จานนี้เยอะมากจนต้องแบ่งกันกิน ข้าวผัดพริกแกงหมูสามชั้นทอด (180 บาท) ข้าวผัดมีกลิ่นเครื่องเทศผัดแห้งกำลังดี หมูสามชั้นทอดได้กรอบไม่อมน้ำมัน ส่วนตัวไม่ชอบข้าวผัดแต่จานนี้รสชาติดีถือว่าผ่าน กินแกล้มกับแตงกวาเข้ากันเป็นที่สุด ข้าวผัดปลาสลิด (170 บาท) รสชาติกลมกล่อม ปลาสลิดทอดมาได้กรอบมากเคี้ยวได้ทั้งก้างไม่ติดคอ สำหรับคนที่ไม่ชอบปลาเนื้อแห้งอาจจะไม่ค่อยปลื้มสักเท่าไหร่ ก่อนรับประทานบีบมะนาวโรยให้ทั่วเพื่อตัดรสชาติให้นัวเข้ากัน นั่งชมนั่งชิลกับบรรยากาศจนพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน จึงรีบหยิบโทรศัพท์ไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกเอาไว้ ฝั่งตรงข้ามร้านเป็นบ้านเรือนของผู้คนที่มีวิถีชีวิตแบบเดิม ๆ มองเห็นเด็กจับกลุ่มกันกระโดดน้ำตูมตาม ช่างเป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายเสียจริง ๆ ตอนค่ำพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า บริเวณพื้นที่เอาท์ดอร์เริ่มไม่น่าสนใจเพราะยุงเริ่มบินออกมาหาอาหาร ถึงแม้จะมีพัดลมเปิดพัดให้ตลอดเวลาแต่ก็ยังสู้ฝูงยุงไม่ได้ พอเรียกเก็บเงินเรียบร้อยก็ได้เวลาถอยทับกลับบ้านกันเสียที บรรยากาศโดยรวมของร้าน The Summer House ถือว่าชนะเลิศ ทั้งตัวร้านและวิวริมแม่น้ำ โดยเฉพาะเวลาพระอาทิตย์ตกช่างงดงามเหลือเกิน ทางด้านอาหารยังไม่ประทับใจนักอาจจะเป็นเพราะทางร้านปรุงมารสชาติกลาง ๆ จึงยังไม่ถูกปากสักเท่าไหร่ ทางด้านราคาอาหารถือว่าสูงพอสมควร แต่เมื่อเทียบกับคุณภาพวัตถุดิบและบรรยากาศก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อพอรับได้ การเดินทาง : ตั้ง GPS ไปที่ร้าน The Summer House ได้เลย จากตัวเมืองอยุธยาใช้ถนน 347 ขับไปตามทางแล้วเลี้ยวเข้าถนน 356 เมื่อข้ามสะพานเกาะเรียนแล้ว ขับตรงไปเพื่อกลับรถใต้สะพานแล้วเลี้ยวเข้าถนน 3477 จากนั้นขับตรงไปเรื่อย ๆ จะพบกับป้ายร้านอยู่ทางซ้ายมือ เลี้ยวรถเข้าไปจอดได้เลย ร้านเปิดทุกวัน 09:30-21:30 น. ติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์ 094-224-2223 ภาพทั้งหมดจากนักเขียน