เช้าวันนี้แม่กลับจากหัวไร่ปลายนา พร้อมกับกลิ่นตุๆ “แม่ตดเหรอ” เราแกล้งแซว แม่หันขวับตอบมาด้วยสายตาว่า “I ลูก Well” ถือเป็นคำอวยพรยามเช้าและกระชับความสัมพันธ์ง่าย ๆ ประสาแม่ลูก (อิอิ) แม่วางไม้คานที่หาบกระป๋องพลาสติกใบย่อม ๆ ข้างในนั้นเต็มไปด้วยผักสดที่ปลูกเอง เพราะตรงหัวนามีเนินดินปลวกที่อุดมสมบูรณ์ บางปีมีเห็ดโคนแต่วันนี้แม่ได้ผักชีซึ่งหว่านเมล็ดทิ้งไว้กลิ่นเตะจมูกชวนให้อยากกินน้ำพริกปลาทูแกล้มผักชีสด ๆ ไม่ต้องกลัวสารเคมีเพราะปลูกเองกับมือ หันไปมองกระป๋องอีกลูก มีฟักทอง มะระ แตงกวา ถั่วฝักยาว เมนูมื้อเย็นมากมาย แว็บบบ...เข้ามาทันที cr.ภาพโดย ชาตรี แก้วบุญเพิ่ม ผู้เขียน เราค้นผักออกมาจัดเข้าครัวด้วยความเคยชิน(ไม่อยากคุยว่านอกจากแม่แล้วเรานี่แหละพ่อครัวอันดับสองของบ้าน) “เจอแล้ว!!!” นี่งัยผู้ร้ายเจ้าของกลิ่นหอมตุๆ (เหมือนตดเด็กเพิ่งหัดกินนม)จะบอกยังไงดี คือจะว่าหอมก็พูดไม่ได้เต็มปาก จะว่าเหม็นก็ไม่เชิง ให้เปรียบก็เหมือนทุเรียนที่จะมีคนชอบและเกลียดกลิ่นมันพอ ๆ กัน ส่วนเจ้าผลไม้กลม ๆ ขนาดเท่าแตงโมลูกเล็ก ๆ สีเขียวปนน้ำตาลนี้ เอามือลูบดูผิวก็ขรุขระ ออกจะสาก “ไอ้ลูกเขียวนั่นห่ามอยู่นะ ส่วนคล้ำๆนั่นกินได้แล้ว” แม่ตะโกนจากในครัว “จ้าแม่” เราขานรับเพราะรู้จักเจ้านี่ดี มันเรียกว่า “มะขวิด” เป็นผลไม้ที่ตอนเด็กๆชอบเอามาทอย เอามาโยนเล่นประหนึ่งนักกีฬาเปตอง แต่ต้องระวัง เปลือกแข็งๆนี่ถ้าโดนหัวต้องโนแน่ หลายปีแล้วที่ไม่ได้เห็นต้นสูงๆของมัน ตอนนี้มาเจอให้ดีใจเหมือนเพื่อนสมัยเด็ก cr.ภาพโดย ชาตรี แก้วบุญเพิ่ม ผู้เขียน ตอนเด็กๆเรารู้สึกว่าลูกมันดกกว่านี้นะ (อย่าว่าแต่คนจะแก่เลยต้นไม้ยังแก่ไปตามสัจธรรม) ให้นับอายุมันคง 40+ แล้วล่ะ แม่มักจะผ่าให้เรากินบอกว่าช่วยถ่ายพยาธิ กินแล้วเจริญอาหาร แก้ตาลขโมยพุงโรก้นปอด ซึ่งเด็กสมัยนี้คงไม่เป็นกันแล้ว เพราะเป็นโรคอ้วนจากอาหารฟ้าสฟู๊ดแทน cr.ภาพโดย Bishnu Sarangib www.pixabay.com หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เรานึกสนุกอยากรู้จักมะขวิดมากขึ้น เลยลองไปถามอากู๋ (กูเกิ้ล) โอ้โห!!! เจ้ามะขวิดนายนี่สรรพคุณไม่ธรรมดาเลยนะ (แต่กลิ่นต้องปรับปรุง) แก้ปวดบวมฟกช้ำก็ได้ แก้ตกเลือด เอายางมาปิดรักษาแผลก็ดี ข้อดีและประโยชน์มากมาย ใช้ได้ทั้งต้น ผล ใบ ราก ฯลฯ จะว่าไปแล้วคนโบราณนี่เก่งนะครับ ผลหมากรากไม้ ทุกอย่างกินเป็นยาได้หมด เหมือนที่เคยได้ยินบ่อย ๆว่า “คนสมันก่อนกินอาหารเป็นยา คนสมัยนี้กินยาเป็นอาหาร” แต่เราขอต่อท้ายอีกนิดว่า “เข้าโรงพยาบาลเป็นสนามเด็กเล่น” ด้วย หลังจากผ่ามันออกมาเราไม่รอช้า ใช้ช้อนตักเนื้อมากิน รสที่หวานชื่นใจทำให้มองข้ามกลิ่นตุ่ยๆไปได้ เนื้อสีน้ำตาลเข้มมีเส้นใย และเม็ดกรุบ จ้วงกินจนเพลินรู้ตัวอีกทีก็หมดไปลูกหนึ่ง cr.ภาพโดย ชาตรี แก้วบุญเพิ่ม ผู้เขียน มองไปที่อีกลูกกำลังห่ามๆ เสียงแม่ดังเป็นแฟลชแบ็ค เหมือนละครหลังข่าว “ลูกห่ามอย่าเพิ่งกินนะ” คิคิ แม่ลืมอะไรไปรึเปล่า เจ้าลูกห่ามนี่แหละ จิ้มพริกกับเกลือ หรือ น้ำปลาหวาน รับรองฟินเว่อร์อย่าบอกใคร cr.ภาพปกโดย Bishnu Sarangib www.pixabay.com