9 วิธีเลือกมะขามเทศ หวานมัน สดใหม่ แบบไหนดี | บทความโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล เคยสังเกตไหมคะว่า ผลไม้ตามฤดูกาลมักได้รับความสนใจ เพราะด้วยราคาที่ไม่แพงมาก ปริมาณของผลไม้ที่มีมากในการเลือก และด้วยรสชาติที่อร่อยของผลไม้ชนิดนั้น ซึ่งมะขามเทศเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีออกมาวางขายเมื่อถึงฤดูกาลค่ะ ที่หลายคนก็ชอบรับประทานมะขามเทศ และหนึ่งในนั้นคือผู้เขียนเองค่ะ มะขามเทศอร่อยค่ะ รับประทานก็ง่าย เด็กรับประทานได้ และผู้สูงอายุบางคนก็ชอบค่ะ ซึ่งมะขามเทศที่ว่าอร่อยๆ นั้น เรามีแนวทางในการเลือกซื้อนะคะ เพราะถ้าหยิบมาแบบไม่มีคุณภาพ รสชาติอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดค่ะ โดยมะขามเทศแบบไหนน่าซื้อ แบบไหนน่าเลือก แบบไหนหวานมันอร่อย แบบไหนให้รสชาติดีตามธรรมชาติ ทั้งหมดนี้สามารถรู้ได้ด้วยการประยุกต์ใช้เคล็ดลับที่ผู้เขียนจะได้นำเสนอไว้ในบทความนี้ค่ะ ที่รับรองว่าหากคุณผู้อ่านได้อ่านให้จบ มองเห็นภาพและรู้เรื่องทันที แถมยังทำให้การเลือกมะขามเทศง่ายขึ้นมากๆ ด้วย น่าสนใจแล้วใช่ไหมคะ งั้นเรามาอ่านต่อกันเลยดีกว่า กับเคล็ดลับดีๆ ในการเลือกซื้อมะขามเทศค่ะ ดังข้อมูลต่อไปนี้ 1. ดูที่ผิวเปลือก ผิวเปลือกของมะขามเทศเปรียบเสมือนเกราะป้องกันที่ปกป้องเนื้อในจากการถูกทำลาย โดยเฉพาะจากเชื้อโรคและการสูญเสียน้ำ หากผิวเปลือกเสียหาย มะขามเทศจะสูญเสียความสดและรสชาติไปอย่างรวดเร็ว ผิวที่เหี่ยวแสดงว่ามะขามเทศสูญเสียน้ำไปมาก อาจทำให้เนื้อในแห้งและแข็ง และมะขามเทศที่น่าซื้อเปลือกควรเรียบเนียน ไม่มีรอยบุบ รอยช้ำ หรือรอยด่างใดๆ เพราะการมีรอยเหล่านี้บ่งบอกว่า มะขามเทศอาจถูกกระแทกหรือเริ่มเน่าเสียภายในได้ค่ะ สีของมะขามเทศจะแตกต่างกันไปตามพันธุ์ แต่โดยทั่วไปสีควรสดใส ไม่ซีดจาง หรือมีสีเหลืองคล้ำที่บริเวณขั้ว สีที่ซีดจางหรือเหลืองคล้ำอาจบ่งบอกว่ามะขามเทศสุกเกินไปหรือเริ่มแก่ 2. สังเกตขนาดและรูปทรง การสังเกตขนาดและรูปทรงของมะขามเทศเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เราเลือกซื้อมะขามเทศได้อย่างถูกต้อง เพราะขนาดและรูปทรงที่เหมาะสมมักบ่งบอกถึงคุณภาพและรสชาติของมะขามเทศได้เป็นอย่างดี ควรเลือกมะขามเทศขนาดที่พอดี โดยคำว่า “ขนาดที่พอดี” คือ ไม่เล็กเกินไป เพราะว่ามะขามเทศที่เล็กเกินไปอาจยังไม่สุกเต็มที่ หรืออาจมีเมล็ดเยอะเกินไปเมื่อเทียบกับเนื้อ และต้องไม่ใหญ่เกินไป เพราะมะขามเทศที่ใหญ่เกินไป อาจมีโอกาสที่เนื้อในจะแห้ง หรือสุกเกินไปจนรสชาติเปลี่ยนไปค่ะ โดยทั่วไปแล้วมะขามเทศที่มีขนาดกลางมักจะมีรสชาติหวานมันกำลังดี และมีเนื้อเยอะ และให้เลือกมะขามเทศที่มีรูปทรงกลมหรือรีสมมาตร เนื่องจากมะขามเทศแบบนี้มักจะเจริญเติบโตมาอย่างสมบูรณ์ และมีเนื้อในที่สม่ำเสมอ ในขณะที่มะขามเทศที่มีรูปทรงบิดเบี้ยว อาจเกิดจากการขาดสารอาหาร หรือได้รับความเสียหายระหว่างการเจริญเติบโต ทำให้เนื้อในอาจไม่สมบูรณ์ หรือมีรสชาติที่แตกต่างกันในแต่ละส่วนค่ะ 3. กดดูความแข็ง การกดดูความแข็งของมะขามเทศเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สำคัญในการเลือกซื้อ เพราะความแข็งของมะขามเทศจะบ่งบอกถึงความสุกของผลได้เป็นอย่างดี มะขามเทศที่สุกกำลังดีจะมีความแข็งเล็กน้อย เมื่อกดเบาๆ จะรู้สึกได้ถึงความแน่น หากนิ่มเกินไปอาจสุกเกินไป หรือเริ่มเน่าเสียได้ มะขามเทศที่สุกเกินไป เนื้อจะนิ่มยวบ และอาจมีรสชาติไม่อร่อย ส่วนมะขามเทศที่ยังไม่สุก เนื้อจะแข็งมากและรสชาติจะจืดชืดค่ะ โดยวิธีการกดดูความแข็ง มีดังนี้ ใช้ปลายนิ้วกดเบาๆ: กดเบาๆ ที่บริเวณกลางผลของมะขามเทศ สังเกตความรู้สึก: แข็งมาก: หมายความว่ามะขามเทศยังไม่สุก แข็งเล็กน้อยและรู้สึกถึงความแน่น: หมายความว่ามะขามเทศสุกกำลังดี นิ่ม: หมายความว่ามะขามเทศสุกเกินไป หรือเริ่มเน่าเสีย 4. สังเกตขั้ว ขั้วมะขามเทศนั้นเปรียบเสมือนตัวบ่งบอกอายุของมะขามเทศได้เป็นอย่างดี การสังเกตสภาพของขั้วจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เราเลือกซื้อมะขามเทศสดใหม่ได้ค่ะ ขั้วที่สดใหม่และติดแน่นแสดงว่ามะขามเทศเพิ่งเก็บเกี่ยวมาไม่นาน มะขามเทศที่เก็บไว้นานๆ ขั้วจะเริ่มแห้งและหลุดร่วงได้ง่าย มะขามเทศที่มีขั้วเสียหาย อาจเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าไปทำลายเนื้อในได้ง่าย ซึ่งวิธีสังเกตขั้ว มีดังนี้ค่ะ ขั้วติดแน่น: ขั้วควรติดแน่นกับตัวผล ไม่หลวมหรือมีร่องรอยของการหลุดร่วง สีของขั้ว: ขั้วที่สดใหม่จะมีสีเขียวสดใส ไม่เหลืองหรือดำ ความชุ่มชื้น: ขั้วควรมีความชุ่มชื้นเล็กน้อย ไม่แห้งกรอบ 5. ดมกลิ่น การดมกลิ่นเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ง่ายและรวดเร็วในการตรวจสอบความสดใหม่ของมะขามเทศค่ะ กลิ่นของมะขามเทศสามารถบอกเกี่ยวกับความสุกและคุณภาพของผลได้เป็นอย่างดี โดยมะขามเทศที่สุกกำลังดีจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เป็นธรรมชาติ ส่วนมะขามเทศที่เริ่มเน่าเสียจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หรือมีกลิ่นผิดปกติ กลิ่นเหม็นอับอาจเกิดจากการเก็บมะขามเทศในที่อับชื้น หากได้กลิ่นเคมี แสดงว่ามะขามเทศอาจถูกฉีดสารเคมี และการเปรียบเทียบกลิ่นของมะขามเทศหลายๆ ผล จะช่วยให้เราเลือกผลที่สุกกำลังดีได้นะคะ 6. ดูสภาพแวดล้อมในการจัดเก็บ นอกจากการสังเกตลักษณะภายนอกของมะขามเทศแล้ว การดูสภาพแวดล้อมในการจัดเก็บก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมสามารถทำให้มะขามเทศเสียคุณภาพได้เร็วขึ้น แต่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจะช่วยชะลอการสุกและการเน่าเสียของมะขามเทศ ภาชนะที่สะอาดและปิดสนิทจะช่วยป้องกันไม่ให้มะขามเทศสัมผัสกับสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรค ความชื้นสูงจะทำให้มะขามเทศเน่าได้เร็วขึ้น จากที่ความชื้นจะทำให้เกิดเชื้อรา ความร้อนจะทำให้มะขามเทศสุกเร็วขึ้นและเน่าเสียได้ง่าย ดังนั้นควรเลือกซื้อมะขามเทศที่เก็บในที่แห้งและมีอากาศถ่ายเทสะดวกค่ะ และบรรจุอยู่ในภาชนะที่สะอาด 7. เลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ การเลือกซื้อมะขามเทศจากแหล่งที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้เราได้มะขามเทศที่สดใหม่ สะอาด และปลอดภัยต่อการบริโภค ควรเลือกแผงที่ดูสะอาด มีการจัดเรียงผลไม้เป็นระเบียบ และมีการทำความสะอาดภาชนะบรรจุอย่างสม่ำเสมอ ให้มองหาร้านที่จัดเก็บมะขมเทศอย่างถูกสุขลักษณะ มีการควบคุมอุณหภูมิ หากเลือกซื้อมะขามเทศที่มีบรรจุภัณฑ์ ควรตรวจสอบวันหมดอายุบนฉลาก เพื่อให้แน่ใจว่ามะขามเทศยังสดใหม่ อย่างไรก็ตามการเลือกซื้อมะขามเทศจากแหล่งใดขึ้นอยู่กับความสะดวกและความต้องการของคุณผู้อ่านเอง สิ่งสำคัญคือการสังเกตลักษณะภายนอกของมะขามเทศ และเลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ได้มะขามเทศที่มีคุณภาพดีและปลอดภัยต่อการบริโภคค่ะ 8. ซื้อทีละน้อย การซื้อมะขามเทศทีละน้อยเป็นวิธีที่ดีในการรักษาความสดใหม่ของผลไม้ชนิดนี้ค่ะ เพราะมะขามเทศเมื่อถูกเก็บไว้นานเกินไปจะเริ่มสุกเกินไป เปลี่ยนสี หรือเน่าเสียได้ง่าย การซื้อในปริมาณที่พอเหมาะกับการบริโภคในแต่ละครั้ง จะช่วยให้คุณผู้อ่านได้ลิ้มรสความอร่อยของมะขามเทศที่สดใหม่เสมอ และเหตุผลที่ควรซื้อมะขามเทศทีละน้อย ก็เพราะว่า ความสดใหม่: มะขามเทศที่ซื้อมาใหม่ๆ จะมีรสชาติหวานอร่อย และมีเนื้อสัมผัสที่กรอบ ป้องกันการเสีย: เมื่อซื้อมะขามเทศมาจำนวนมาก อาจมีบางส่วนที่สุกเกินไป หรือเน่าเสียก่อนที่คุณผู้อ่านจะนำไปบริโภค ทำให้เกิดการเน่าเสียและต้องทิ้งค่ะ ควบคุมปริมาณการบริโภค: การซื้อทีละน้อยจะช่วยให้คุณผู้อ่านควบคุมปริมาณการบริโภคได้ง่ายขึ้น และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมากเกินไปนะคะ 9. ซื้อตามฤดูกาล การเลือกซื้อมะขามเทศตามฤดูกาล เป็นวิธีที่ดีในการได้ลิ้มลองรสชาติที่แท้จริงของมะขามเทศพันธุ์ต่างๆ และยังช่วยสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่อีกด้วย เพราะมะขามเทศที่ปลูกในฤดูกาลจะให้รสชาติที่หวานอร่อย และมีราคาที่จับต้องได้มากกว่าการนำเข้า หรือปลูกในช่วงนอกฤดูกาลค่ะ ลองนึกภาพว่ามะขามเทศที่ปลูกในฤดูกาลจะได้รับแสงแดดและปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสม ทำให้มีรสชาติหวาน หอม และมีเนื้อสัมผัสที่กรอบ เมื่อผลผลิตออกมาเยอะ ราคาในตลาดก็จะถูกลง ทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อมะขามเทศได้ในราคาที่คุ้มค่า มะขามเทศที่ปลูกตามธรรมชาติ มักจะใช้สารเคมีน้อยกว่า ทำให้ปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากขึ้นค่ะ ที่โดยทั่วไปแล้วมะขามเทศจะออกผลผลิตมากที่สุดในช่วงฤดูร้อน เพราะเป็นช่วงที่มีอากาศอบอุ่นและแสงแดดจัด แต่ก็มีบางสายพันธุ์ที่สามารถออกผลผลิตได้ตลอดทั้งปี หากมีการจัดการที่ดีค่ะ เป็นยังไงบ้างคะ กับเทคนิคทั้ง 9 ข้อ สำหรับเลือกซื้อมะขามเทศที่มีความสดใหม่ หวานมันและอร่อย พอจะมองภาพออกกันแล้วใช่ไหมว่า มะขามเทศที่ควรเลือกมีลักษณะอย่างไร ซึ่งเคล็ดลับในนี้ผู้เขียนเองก็มีโอกาสได้ใช้ทุกปีค่ะ เพราะเป็นคนชอบรับประทานมะขามเทศ จึงไม่พลาดหากถึงฤดูกาลของผลไม้ชนิดนี้ค่ะ โดยมักซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ ซื้อทีละน้อย ดูผิวเปลือกและซื้อตามฤดูกาลค่ะ ซึ่งพบว่า ทุกครั้งก็ได้มะขามเทศสดใหม่และอร่อยตลอด ดังนั้นคุณผู้อ่านก็อย่าลืมนำเคล็ดลับข้างต้นไปใช้นะคะ หากต้องการมะขามเทศดีๆ และผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากชอบบทความแบบนี้อีก ก็อย่าลืมกดติดตามหรือกดบุ๊กมาร์กหน้าโปรไฟล์ไว้นะคะ เพราะจะได้ไม่พลาดบทความใหม่ๆ ที่จะได้นำมาเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ค่ะ เครดิตภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปกและภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน ออกแบบภาพหน้าปกใน Canva เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล บทความอื่นที่น่าสนใจโดยผู้เขียน https://food.trueid.net/detail/z5Dewe3Yz60q https://food.trueid.net/detail/yRWDyQ8qbqXA https://food.trueid.net/detail/Wnx3BDZA5a1J เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !