ปลายเดือน 5 วิถีชีวิตชาวนาแถบบ้านผม ถือว่าได้เวลาเตรียมตัวไปตีดิน คราดและตกกล้าเป็นวงจรชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษเท่าที่จำความได้ เพราะเหตุที่ต้องอาศัยน้ำฝนในการทำนาอย่างเดียว จึงทำนาได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น หากล่วงเลยเวลานี้ไปหรือฝนตกล่าช้ากว่านี้ การลงทุนในการทำนาก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น นี่คือวิถีชาวนาที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติจริง ๆ ในนาข้าวนอกจากจะมีจอมปลวก เถียงนาเอาไว้เป็นที่พักเวลาไปทำนาแล้ว หากนาของใครอยู่ในที่ลุ่มมาก ๆ หน่อย ก็จะมีต้นไม้ที่ชอบน้ำขึ้นอยู่ข้าง ๆ จอมปลวกหรือริมขอบแอ่งน้ำในนาเสมอ นั่นคือ “ต้นหว้า” ที่ถือกันว่าเป็นราชาของผลไม้สีม่วง เพราะเป็นทั้งอาหารและยา โดยมากคนจะนิยมเก็บเอาผลไปทานและขาย ผมไปที่นา เห็นว่าน้ำในนายังไม่พอตกกล้า แต่ต้นหว้าออกลูกดกและสุกเร็วกว่าปรกติ เหมือนผลไม้ชนิดอื่น ๆ ของปีนี้ที่ต่างออกลูกและสุกเร็วผิดไปจากทุก ๆ ปีเช่นกัน ผมจึงเก็บผลหว้าที่สุกและห่าม ๆ ราว 2 กิโลกรัมใส่ตะกร้า ตั้งใจว่าจะมาทำเมนู “ตำผลไม้” ให้ได้รู้จักกันว่า คนที่บ้านผมนี่ก็ตำผลไม้กินกันมานมนานแล้วนะ วิธีทำและขั้นตอนจะเป็นอย่างไร มาดูกันเลยครับ ขั้นตอนเตรียมวัตถุดิบและเครื่องปรุง 1.วัตถุดิบ ได้แก่ ลูกหว้าพันธุ์ใหญ่ จำนวน 30 ลูก เลือกลูกที่ไม่ช้ำหรือสุกมากเกินไป 2.เครื่องปรุง ได้แก่ 1) กระเทียมไทย 10 กลีบ 2) หอมแดงเล็ก 5 หัว ซอยให้เป็นแว่นบาง ๆ 3) น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะ 4) พริกแห้งตำ 1 ช้อนโต๊ะ ถ้าต้องการเผ็ดน้อยก็ลดปริมาณตามที่ชอบ 5) น้ำปลาร้าสุก 1 ช้อนโต๊ะ 6) เกลือสินเธาว์ 1 ช้อนชา ขั้นตอนลงมือทำ 1.ตำกระเทียมพอแหลก ตามด้วยหอมแดงเล็กซอย 2.ใส่ลูกหว้าลงไป ต่อด้วยเกลือสินเธาว์ น้ำตาลทรายแดง พริกแห้งตำและน้ำปลาร้าสุก 3.ตำให้เข้าเครื่องกัน จังหวะนี้สำคัญมาก ถ้าตำไม่เป็นหรือไม่ถูกจังหวะ อาจต้องเททิ้งทั้งหมด วิธีการตำให้สำเร็จ มี 2 ข้อ คือ 1) ค่อย ๆ เอาสากตำลูกหว้าแต่ละลูกพอให้แตกจนครบทุกลูก เพื่อให้เครื่องปรุงทั้งหมดซึมเข้าเนื้อลูกหว้าได้ดี 2) ระหว่างอย่าตำโดนเมล็ดลูกหว้าจนแตกเด็ดขาด เพราะเมล็ดลูกหว้านั้นขมมาก กินสด ๆ ดิบ ๆ ไม่ได้ 4.ชิมรสชาติดูว่าใช้ได้หรือยัง โดยต้องมีรสชาติหวานนำนิดๆ เค็ม ๆ และเผ็ด ๆ หน่อยถึงจะดี ขั้นตอนรับประทาน โดยปรกติการตำลูกหว้าทานนั้น จะตำก็ต่อเมื่อถึงฤดูทำนาระหว่างหว่านกล้า เพราะช่วงนั้นลูกหว้าจะออกลูกและสุกเต็มที่ ส่วนใหญ่จะเป็นลูกหว้าพื้นบ้านที่เรียกว่า “บักหว้าขี้นก” เวลาที่นิยมตำทานคือ ช่วงกลางวัน พักจากหว่านกล้ามาทานข้าวเที่ยง เป็นอาหารมื้อหลักมื้อหนึ่งที่ทานกันแบบง่าย ๆ บนเถียงนาใต้ร่มไม้กลางทุ่ง หรือบางทีก็ตำกินเป็น “ของกินเล่น” ตอนบ่าย ๆ ถือว่าเป็นเมนูตำผลไม้ประจำฤดูกาลที่หาทานได้เพียงช่วงเดียวของปีเท่านั้น เพราะหลังจากนี้ก็ต้องรอไปอีกรอบปีหนึ่งถึงจะได้ทานอีกครั้ง อีกอย่างหนึ่ง ทานแล้วอย่าคายเมล็ดทิ้ง ล้างและตากแดดเก็บไว้ ผมมีข้อแนะนำ 2 เรื่อง 1)เอาไว้ทำเป็นยาแก้ท้องร่วง 2)เวลาไปที่ลุ่มน้ำเอาเมล็ดไปปลูกด้วยนะครับ ข้อมูลทางโภชนาการ สำหรับคุณค่าทางโภชนาการของลูกหว้านั้น ลูกหว้าดิบต่อ 100 กรัม ให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี โดยมีคาร์โบไฮเดรต 14 กรัม,วิตามินซี 11.85 มิลลิกรัม 14%,ธาตุแคลเซียม 11.65 มิลลิกรัม 1%,ธาตุฟอสฟอรัส 15.6 มิลลิกรัม 2%,ธาตุโพแทสเซียม 55 มิลลิกรัม 1%,ธาตุโซเดียม 26.2 มิลลิกรัม 2% ทั้งนี้ % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database) ภาพประกอบทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน : อนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษาได้ฟรี