" มีตารอบตัว รอบตัว รอบตัว มีหัวหลายตา หลายตา หลายตา ฮูล้า ฮูล่า เห้ย!! สับปะรด สับปะรด " สวัสดีครับนักอ่านทุกท่าน วันนี้ไม่ต้องตกใจนะครับที่ผมเปิดมาด้วยประโยคแปลกๆ เพราะนั้นคือเพลง สันทนาการ ที่ใช้ในกิจกรรมของมหาวิทยาลัยนั้นเองครับ พอดีวันนี้ผมนั้งอ่านหนังสือ อยู่ๆรูมเมทได้ร้องเพลงนี้ขึ้นมา จึงเกิดเป็นแรงบันดาลบทความนี้ขึ้นมานั้นเอง ย้อนกลับไปเมื่อไม่นาน ผมและเพื่อนๆได้มีโอกาสทำ สับปะรดเชื่อม กันภายในชั่วโมงเรียน เรียกว่าเป็นสูตรที่ง่ายมากๆ ใช้วัตถุดิบน้อย แต่ต้องใช้เวลาในการกวน งั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มทำกันเลยดีกว่าครับ วัตถุดิบหลักที่ใช้ในการทำสับปะรดเชื่อม 1. สับปะรด 2 ผล 2. น้ำตาลทราย 500 กรัม 3. กรดมะนาว 1.8 กรัม หรือ ½ ช้อนชา 4. เกลือ 100 กรัม 5. น้ำสะอาด 2 ลิตร แบ่งออกเป็น 1 ลิตรใช้ในการแช่สับปะรด และอีก 1 ลิตรใช้ในการทำน้ำเชื่อม เมื่อได้วัตถุดิบครบแล้ว มาเริ่มขั้นตอนการทำสับปะรดเชื่อมกันเลยครับ 1.นำสับปะรดสายพันธุ์ที่หาซื้อได้จากตลาดหรือแผงผลไม้รอบๆ มหาวิทยาลัย เมื่อได้มาแล้วล้างทำความสะอาด ปอกเปลือก แจะแกนสับปะรดออก และคว้านตาสับปะรดออกให้หมด หักเป็นแว่น แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง จากนั้นตากให้แห้ง เนื้อสับปะรดที่ผ่านการเตรียมและกำลังล้างรอบสุดท้าย 2. ทำการเตรีมน้ำเกลือแช่สับปะรด โดยนำน้ำ 1 ลิตรไปตั้งไฟแล้วใส่เกลือ 100 กรัม เมื่อเดือดทำให้การปิดไฟ แล้วทิ้งให้เย็น จากนั้นจึงนำไปเทใส่สับปะรดเพื่อแช่เป็นเวลา 1 ชั่วโมง 3. ทำการเตรียมน้ำเชื่อม โดยนำน้ำตั้งไฟ ใส่น้ำตาลลงไปเคี้ยวจนละลาย จากนั้นใส่กรดมะนาว แต่! ก่อนใส่ละลายด้วยน้ำก่อนเล็กน้อยแล้วค่อยเติมลงในน้ำเชื่อมนะครับ เมื่อทุกอย่างได้ที่แล้ว ทิ้งไว้ให้เย็น รอสับปะรดครบ 1 ชั่วโมง 4.เมื่อครบเวลาแล้ว นำน้ำเชื่อมตั้งไฟป่านกลาง แล้วใส่สับปะรดลงไปเคี้ยว ข้อควรระวัง! เวลาเคี้ยวอย่าคนแรงไปนะครับ เดี๋ยวสับปะรดจะเลาะ และต้องคนตลอดเวลานะครับ เพื่อป้องกันน้ำเชื่อมไหม้ติดกระทะ คนไปเรื่อยๆๆจนน้ำเชื่อมเริ่มงวด หรือเนื้อสับปะรดมีสีทีเข้มขึ้น ความใสของเนื้อสับปะรดเพิ่มขึ้น แปลว่าได้แล้วครับ จากนั้นปิดไฟแล้วทิ้งไว้ให้เย็น แค่นี้ก็ได้สับปะรดเชื่อมแล้วครับ สับปะรดเชื่อมสูตรนี้ จะมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไปนะครับ โดยขึ้นอยู่กับพันธุ์สับปะรดที่ใช้ในการเชื่อม หากผู้อ่านใช้เป็นสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียน จะได้เนื้อสับปะรดที่หวานและฉ่ำเป็นพิเศษ แต่ถ้าหากใช้พันธุ์ภูเก็ต จะได้เนื้อสับปะรดเชื่อมที่หวาน แน่น และมีกลิ่นที่หอมมากๆ การที่เนื้อสับปะรดเชื่อมจะฉ่ำสวย เวลาและไฟเป็นตัวสำคัญอีกอย่าง ที่เราไม่ควรละเลยครับ แต่จากการที่ผมและเพื่อนๆได้ชิมฝีมือตัวเองแล้ว ถึงกับยกมือให้ตัวเองเลย เป็นไงกันบ้างครับ กับเรื่องง่ายๆของสับปะรด ในบทความหน้าผมจะมาเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวอะไรนั้น รอติดตามอ่านได้เลย ช่วงนี้ผู้อ่านทุกอย่างอย่าลืมรักษาสุขภาพตนเองด้วยนะครับ กินร้อน กินข้าวแยกจาน และล้างมือ แล้วพบกันในบทความหน้าครับ สวัสดีครับ เครดิตภาพ : For Eat ( ผู้เขียน )