สูตรทำข้าวเหนียวมะม่วง น้ำตาลน้อย ไม่ใส่แป้ง หวานมันพอดี | บทความโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ความหวานที่ปรับลดลงตามสูตรของผู้เขียนนี้ยังทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไปนะคะ อีกทั้งยังคงความหอมมันของกะทิและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของข้าวเหนียวมูนได้อย่างลงตัว นอกจากนี้การไม่ใส่แป้งในน้ำกะทิราดหน้ายังช่วยให้ได้สัมผัสที่เนียนนุ่ม และคงความมันตามธรรมชาติของกะทิได้อย่างแท้จริง ทำให้สูตรนี้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่ชอบรสสัมผัสเหนียวข้นของน้ำราดหน้าที่ใส่แป้งค่ะ และด้วยขั้นตอนที่ผู้เขียนจะได้พูดเอาไว้ต่อจากนี้ เป็นการทำที่ไม่ซับซ้อนและใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่ายค่ะ สูตรนี้จึงเหมาะสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หัดทำขนม หรือผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน การปรับลดปริมาณน้ำตาลยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้สามารถเพลิดเพลินกับขนมหวานแสนอร่อยนี้ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความหวานมากเกินไป นอกจากนี้ในสูตรผู้เขียนยังเสนอเคล็ดลับการเพิ่มงาขาวคั่วหรือถั่วให้ด้วย ซึ่งเป็นแนวทางช่วยเสริมความหอมและเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมหวานจานนี้อีกด้วย ดังนั้นต้องอ่านให้จบและลองนำไปทำตามดูนะคะ ดังนี้ วิธีทำข้าวเหนียวมะม่วง สูตรหวานน้อย และไม่ใส่แป้ง 1. ส่วนผสมข้าวเหนียวมูน ข้าวเหนียวนึ่งสุกแล้วแบบร้อนๆ จำนวน 3 ถ้วยตวง กะทิกล่อง 1 1/2 ถ้วยตวง น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง น้ำตาลทรายขาว 7 ช้อนโต๊ะพูน (ปรับได้ตามชอบ) น้ำใบเตยเข้มข้น 1 ถ้วยตวง เกลือป่น 1/4 ช้อนชา ใบเตย 2-3 ใบ 2. ส่วนผสมน้ำกะทิราดหน้า หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง น้ำตาลทรายขาว 1 ช้อนโต๊ะพูน (ปรับได้ตามชอบ) เกลือป่นพอหยิบมือ น้ำละลายข้าวสารแช่น้ำบดละเอียด 3. ส่วนประกอบเพิ่มเติม มะม่วงสุก (น้ำดอกไม้ หรือตามชอบ) งาขาวคั่วหรือถั่วทอง (สำหรับโรยหน้า) ขั้นตอนการทำ 1. เตรียมข้าวเหนียว ถ้ามีข้าวสารเองให้ล้างข้าวเหนียวให้สะอาด แช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 3-4 ชั่วโมง หรือข้ามคืน จากนั้นนำไปนึ่งในน้ำเดือดจนสุกดี ประมาณ 20-30 นาที แต่ถ้าไม่สะดวก การซื้อข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้วร้อนๆ ก็สามารถใช้ได้ค่ะ ให้ซื้อร้านที่ทำใหม่ 2. ทำน้ำกะทิสำหรับมูน นำหัวกะทิ น้ำตาลทราย และเกลือป่น ใส่หม้อ คนให้เข้ากัน ใส่ใบเตยลงไปด้วย ตั้งไฟกลางค่อนข้างอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลละลายหมดและกะทิเริ่มข้นเล็กน้อย ปิดไฟและพักไว้ 3. มูนข้าวเหนียว เมื่อข้าวเหนียวสุก ตักใส่ในอ่างผสมขณะที่ยังร้อนอยู่ ค่อยๆ เทน้ำกะทิที่เตรียมไว้ลงไปทีละน้อย ใช้พายคลุกเคล้าให้เข้ากันจนทั่ว ปิดฝาพักไว้ประมาณ 15-20 นาที หรือจนข้าวเหนียวดูดน้ำกะทิจนหมด 4. ทำน้ำกะทิราดหน้า นำหัวกะทิ น้ำตาลทราย และเกลือป่น ใส่หม้อ ตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลละลายและกะทิข้นขึ้นเล็กน้อย และใส่น้ำละลายข้าวสารแช่น้ำจนรู้สึกว่าส่วนผสมข้นขึ้น เพื่อให้ได้ความมันแบบพอดีๆ ปิดไฟ พักไว้ 5. จัดเสิร์ฟ ปอกมะม่วงสุก หั่นเป็นชิ้น จัดใส่จานพร้อมข้าวเหนียวมูน ราดด้วยน้ำกะทิที่เตรียมไว้ โรยหน้าด้วยถั่วทองกรอบๆ พร้อมรับประทาน เคล็ดลับเพิ่มเติม: การใช้ข้าวเหนียวเก่าจะทำให้เม็ดข้าวสวยและไม่แฉะ หากชิมแล้วอยากเพิ่มความหวานอีก ให้ปรับปริมาณน้ำตาลได้ตามความชอบก็ได้ค่ะ และอีกแนวทางหนึ่งที่ผู้เขียนทำก็คือการเลือกมะม่วงที่สุกมาก ก็สามารถมีความหวานเพิ่มขึ้นมาได้เหมือนกัน โดยที่ไม่ต้องเติมน้ำตาลเพิ่มเลย การมูนข้าวเหนียวขณะที่ยังร้อนจะช่วยให้ข้าวเหนียวดูดซึมน้ำกะทิได้ดีนะคะ หากชอบความหอมของใบเตยสามารถเพิ่มปริมาณใบเตยในน้ำกะทิได้ ถ้ามีอัญชันสามารถทำน้ำมูนข้าวเหนียวจากน้ำดอกอัญชันได้ค่ะ สำหรับข้าวเหนียวมูนตามสูตรนี้สามารถจัดเสิร์ฟได้ 6-7 คนที่เป็นผู้ใหญ่ และนอกจากจะทำทานที่บ้าน แบบนั่งทานไปพร้อมๆ กันแล้ว ยังสามารถจัดใส่กล่องไปฝากเพื่อนหรือฝากญาติพี่น้องได้ด้วยนะคะ โดยเราก็จะจัดใส่กล่องให้เหมาะสม และจำเป็นต้องแยกน้ำกะทิสำหรับราดหน้าค่ะ สำหรับเด็กหากต้องการทานข้าวเหนียวมะม่วง ก็ให้จัดเสิร์ฟในปริมาณน้อยลงได้นะคะ โดยต้องหั่นมะม่วงให้มีชิ้นเล็กลงตามความเหมาะสมของเด็กด้วยการทำแบบนี้ก็จะช่วยทำให้เด็กสามารถตักทานได้เองง่ายๆ ค่ะ ก็จบแล้วค่ะ กับสูตรการทำข้าวเหนียวมูน แบบไม่เปลืองน้ำตาล หวานมันพอดี ที่ไม่ใส่แป้งด้วย แต่เป็นการใส่น้ำละลายข้าวเหนียวแช่น้ำแทน ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นหลักการเดียวกันกับสูตรที่ใช้แป้งสำหรับทำอาหารที่เป็นถุงๆ นะคะ แต่แนวทางที่ผู้เขียนได้เสนอไว้นั้น ธรรมชาติมากกว่า อีกทั้งเหมาะกับคนที่อาจจะแพ้แป้งข้าวโพด แต่หาทางออกไม่ได้ สูตรนี้คือคำตอบค่ะ ยังไงก็ลองนำไปทำตามได้นะคะ โดยสูตรนี้ผู้เขียนชอบทำ เพราะต้องการให้ทุกคนในบ้านลดการกินหวานค่ะ แต่ยังสามารถมีประสบการณ์ทานข้าวเหนียวมะม่วงได้ และต่อให้เป็นสูตรหวานน้อยก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนยังใช้มะม่วงน้ำดอกไม้แบบไม่สุกงอมค่ะ การทำแบบนี้ก็ทำให้ความหวานน้อยลงไปอีก อีกทั้งผู้เขียนก็ยังเลือกที่จะไม่ทำข้าวเหนียวมะม่วงบ่อยเกินไป ที่เป็นแบบนี้เพื่อลดความถี่ในการกินหวานเกินความจำเป็นค่ะ ด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไปค่ะ เครดิตภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปกและภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน ออกแบบภาพหน้าปกโดยผู้เขียนใน Canva เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล บทความอื่นที่เกี่ยวข้องโดยผู้เขียน ความสำคัญของการทำอาหารทานเองที่บ้าน มีอะไรบ้าง ดียังไง วิธีเลือกน้ำตาลทรายขาว เลือกยังไงดี 7 วิธีดูใบเตยพร้อมตัดจากต้น แบบไหนดี หอมมาก เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !