สูตรทำขาย “ตะโก้เผือก” ขนมไทยลงทุนน้อยกำไรงาม ด้วยความที่ผมเป็นเด็กที่โตในต่างจังหวัด พ่อแม่เข้ามาประกอบอาชีพในเมืองใหญ่ ต้องอยู่กับปู่ย่าตายายที่ต่างจังหวัด ทุกวันต้องตื่นตั้งแต่ตอนเช้าเพื่อลุกขึ้นมาช่วยย่าทำขนมไปขายที่ตลาด ขนมที่ทำขายในตอนนั้นมีทั้ง ขนมถ้วย ขนมถ้วยฟู ตะโก้ ขนมขี้หนู ฮั่นแน่…เด็กรุ่นใหม่อาจจะงงว่าอะไรคือ “ขนมขี้หนู” อีกชื่อหนึ่งของมันก็คือ ขนมทรายและขนมละอองฟ้า แต่เดี๋ยวเอาไว้คราวต่อไปหากผมได้เอาบรรจุไว้ ในเมนูที่ทำขายเมื่อไหร่ ค่อยเอามานำเสนอกันอีกที พอโตขึ้นมาหน่อยได้ย้ายเข้ามาเรียนในเมือง ก็ไม่คิดเหมือนกันนะว่าเรียนมาตั้งเยอะแยะ เอาความรู้มาใช้ในการทำงานได้ไม่เท่าไหร่เอง แต่กลายเป็นสิ่งที่เราเบื่อหน่ายในวัยเด็กตอนนั้น ที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อลุกขึ้นมาช่วยที่บ้านทำขนมขาย มันจะมาเป็นสิ่งที่สร้างรายได้เสริมให้กับเราอย่างในทุกวันนี้ ในส่วนของตัวไส้ขนมมีส่วนผสมดังนี้ (ผมระบุอัตราส่วนที่ทำขายในจำนวน 35-38 กล่อง) แป้งข้าวเจ้า 150 กรัม แป้งมันสำปะหลัง 150 กรัม แป้งท้าวยายม่อม 100 กรัม เผือก 800-1000 กรัม (ปลอกต้ม) น้ำตาล 1400 กรัม น้ำเปล่า 2200 กรัม โดยขั้นตอนแรกให้นำเผือกที่ปอกเรียบร้อยแล้วไปต้ม ระหว่างที่รอก็ผสมแป้งสำหรับทำตัวขนมตามอัตราส่วนให้เรียบร้อย เมื่อเผือกสุกดีแล้วก็นำเผือกที่ต้มสุกมาบดให้ละเอียด แล้วนำมาใส่เข้ากับหม้อแป้งที่ผสมเตรียมไว้ หลังจากนั้นก็ตวงน้ำตามอัตราส่วนที่ระบุ นำถุงมาสวมมือหรือล้างมือให้สะอาดแล้วบี้แป้งกับเผือกให้เข้ากัน พยายามอย่าให้แป้งจับตัวเป็นก้อน เสร็จแล้วติดไฟปานกลางแล้วนำหม้อขึ้นตั้งไฟ ใช้ไม้พายกวนขนมกวนไปเรื่อย ๆ คอยระวังไม่ให้ขนมติดก้นหม้อจนไหม้ พอกวนจนแป้งเริ่มจับตัวข้นค่อยเทน้ำตาลที่เตรียมใส่ลงไป กวนต่อเนื่องไปอีกประมาณ 10 นาที เมื่อดูว่าแป้งสุกแล้วจึงยกหม้อออก เพื่อนำไปหยอดใส่กระทงใบตอง หรือหากหาใบตองไม่ได้อาจจะใช้ถ้วยพลาสติกใสแทนก็ได้ (ในส่วนที่ผมทำขายจะใช้กระทงใบตองกล้วยตานี เย็บขนาดประมาณ 4 คูณ 8 ซม.) ในส่วนของหน้าขนมมีส่วนผสมดังนี้ แป้งข้าวเจ้า 150 กรัม แป้งมันสำปะหลัง 150 กรัม กะทิ 1500 กรัม เกลือ 50 กรัม (เป็นส่วนผสมที่สำคัญมากห้ามขาด) น้ำตาล 150 กรัม น้ำเปล่า 2600 กรัม หลังจากหยอดตัวขนมเรียบร้อยแล้วก็มาเริ่มทำหน้าขนมกันต่อ โดยเริ่มจากนำแป้งที่ผสมตามอัตราส่วนเรียบร้อยแล้ว (ห้ามลืมเกลือเด็ดขาด คือต่อให้ผสมอย่างอื่นครบตามสูตรทั้งหมด แต่หากลืมใส่เกลือเพียงอย่างเดียว ขนมจะหมดความอร่อยในทันที ที่ต้องย้ำไม่ใช่อะไรครับพลาดมาก่อน ฮ่าฮ่า) หลังจากนั้นก็ใส่กะทิและน้ำเปล่าตามอัตราส่วน แล้วก็เหมือนกันกับที่ทำตัวขนมคือ ล้างมือให้สะอาด แล้วบี้แป้งที่จับตัวเป็นก้อนให้ละเอียด นำมาตั้งไฟปานกลางค่อนมาทางอ่อนคนไปเรื่อย ๆ จนแป้งจับตัวข้น จึงคอยสังเกตดูว่าแป้งสุกดีแล้วหรือไม่ ถ้าสุกแล้วก็นำไปหยอดได้เลย พอหยอดหน้าขนมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พักให้ขนมเย็นลงสักนิดหน่อยแล้วค่อยจับใส่กล่อง กล่องที่ผมใช้คือขนาด TP 12 จะใส่ได้ 2 กระทงพอดี ขายในราคากล่องละ 20 บาท อันนี้คือขายในตลาดย่านชานเมืองนะครับ หากขายในเมืองย่านที่มีคนเยอะ ๆ อาจจะขายสัก 25-30 บาท ก็น่าจะขายได้ครับ บางทีสิ่งใกล้ตัวที่เราอาจจะหลงลืมไปแล้ว หากเราลองสำรวจมองย้อนรอบตัวดูดี ๆ ในยุคที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ใครจะไปรู้ว่า มันอาจจะกลายมาเป็นสิ่งที่สร้างรายได้ให้กับเราก็ได้ เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งผมเคยขี้เกียจตื่นแต่เช้าเพื่อลุกมาช่วยย่าทำขนม แต่มันกลับมาเป็นสิ่งที่สร้างรายได้เสริมให้กับผมในตอนนี้ เครดิตรูปภาพ : ภาพถ่ายจากผู้เขียน เขียนโดยแอดมิน เพจ ปีนรั้วดูหนัง