12 วิธีปอกมะม่วงดิบ ไม่ให้ดำคล้ำ คงสีสวยน่ากิน และไม่ช้ำ | บทความโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล การนำมะม่วงดิบมารับประทานเป็นของว่าง โดยเฉพาะในช่วงที่รู้สึกว่าง่วงนอนหรือตาไม่สว่างจากอาการบางอย่าง หรือแม้แต่คนที่เปรี้ยวปากอยากทานผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยว ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในประเทศไทยของเรา จะว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนไทยไปแล้วก็ได้ค่ะ พอเป็นแบบนี้เราจึงได้เกี่ยวข้องกับการปอกมะม่วงดิบ มะม่วงดิบหาซื้อได้ที่ไหน คงไม่ใช่ประเด็นที่เป็นปัญหาใหญ่ จริงไหมคะ? แต่ปอกมะม่วงยังไงไม่ให้ดำคล้ำ นี่คือประเด็นหลักที่ปราบเซียนค่ะ แต่ไม่ต้องปวดหัวอีกต่อไปแล้วนะคะ เพราะในบทความนี้ผู้เขียนมีทางออกมาให้แล้ว โดยมีตั้ง 12 เคล็ดลับมาให้เลือกนำไปใช้ ที่รับรองว่าอ่านจบได้ไอเดียนำไปปรับใช้ในสถานการณ์จริงแน่นอนค่ะ แต่ว่าต้องอ่านให้จบทั้ง 12 ข้อก่อนนะคะ จากนั้นคุณผู้อ่านถึงจะมองภาพออกมากขึ้นว่า เคล็ดลับข้อไหนเหมาะกับคนแบบเรา และถ้าอยากรู้แล้วว่าจะทำยังไงให้มะม่วงดิบที่เราปอกไม่ดำ งั้นอ่านต่อกันเลยดีกว่า และต่อไปนี้คือ 12 วิธีปอกมะม่วงดิบไม่ให้ดำคล้ำ แต่ยังคงสีสวยน่ากิน และไม่ช้ำค่ะ 1. ปอกในที่อากาศเย็น คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การปอกมะม่วงดิบในสภาพอากาศเย็น ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่น่าสนใจในการช่วยชะลอการดำคล้ำค่ะ จากที่อุณหภูมิที่ต่ำเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาตามธรรมชาติเมื่อสัมผัสกับอากาศ ลองนึกภาพว่าปฏิกิริยาเคมีต่างๆ มักจะเกิดขึ้นได้ช้าลงเมื่ออยู่ในที่เย็น ดังนั้นการปอกมะม่วงในห้องแอร์หรือในช่วงเวลาที่อากาศเย็น ก็เหมือนกับการทำให้กระบวนการเปลี่ยนสีของผิวมะม่วงเกิดขึ้นได้ช้าลงตามไปด้วย ทำให้เรามีเวลานานขึ้นก่อนที่มะม่วงดิบจะเริ่มมีสีคล้ำและไม่น่ารับประทานค่ะ 2. หลีกเลี่ยงการวางซ้อนกัน ลองคิดดูว่าเมื่อเราวางมะม่วงซ้อนกัน ผิวที่ถูกกดทับจะบอบช้ำได้ง่ายขึ้น แถมบริเวณที่ถูกกดทับอากาศก็ถ่ายเทไม่สะดวก ความชื้นก็อาจจะสะสม จึงทำให้เกิดการดำคล้ำได้ง่ายขึ้น การวางเรียงมะม่วงให้มีช่องว่าง ไม่ให้ผิวสัมผัสกันโดยตรง จึงช่วยลดความเสียหายทางกายภาพ ลดการสัมผัสกับอากาศโดยตรง และทำให้มะม่วงคงความสดใสได้นานยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนการที่เราดูแลไม่ให้ผลไม้ช้ำนั่นเอง และโอกาสที่สีจะเปลี่ยนก็ลดลงตามไปด้วยค่ะ 3. ใช้มีดคม หลักการง่ายๆ คือเมื่อเราใช้มีดที่ไม่คม ผิวของมะม่วงจะถูกบีบช้ำมากกว่าปกติ ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่เอนไซม์ในมะม่วงสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศได้มากขึ้น และผลลัพธ์ที่เราจะเจอก็คือ ผิวมะม่วงจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำหรือดำอย่างรวดเร็ว ในทางตรงกันข้ามการใช้มีดที่คมจะช่วยให้การปอกเป็นไปอย่างรวดเร็ว และลดการช้ำของผิว ทำให้เอนไซม์สัมผัสกับอากาศน้อยลงค่ะ มะม่วงดิบจึงคงสีเขียวสดใสได้นานขึ้นนั่นเองนะคะ 4. เก็บในภาชนะทึบแสง หลายคนยังไม่รู้ว่า การเก็บมะม่วงดิบในภาชนะทึบแสงก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับสำคัญที่ช่วยรักษาสีเขียวสดใสไว้ได้นาน เพราะว่าแสงสว่างมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะแสงแดดที่สัมผัสโดยตรง เพราะสามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีบางอย่างในผิวมะม่วงได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีได้เร็วขึ้น แต่การหันมาใช้ภาชนะทึบแสงเก็บรักษามะม่วงดิบที่ปอกเปลือกแล้ว จะช่วยลดการสัมผัสกับอากาศโดยตรงได้อีกทางหนึ่ง ก็ยิ่งช่วยชะลอการเกิดปฏิกิริยาที่ทำให้ดำคล้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของผิวดำคล้ำ ดังนั้นการเก็บมะม่วงดิบในที่มืดหรือไม่ให้โดนแสง จึงเป็นเหมือนการสร้างเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้มะม่วงของเราคงความน่ารับประทานได้ยาวนานยิ่งขึ้นค่ะ 5. ตัดเป็นชิ้นใหญ่ การตัดมะม่วงดิบเป็นชิ้นใหญ่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาผิวดำคล้ำได้ดีค่ะ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า ยิ่งเราหั่นมะม่วงเป็นชิ้นเล็กๆ มากเท่าไหร่ ก็จะเกิดพื้นผิวสัมผัสกับอากาศมากขึ้นเท่านั้น และนั่นหมายความว่าเอนไซม์ที่อยู่ในมะม่วงก็มีโอกาสทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้น ผิวของมะม่วงจึงเปลี่ยนสีได้ง่ายกว่าปกตินะคะ แต่ถ้าเราตัดเป็นชิ้นใหญ่ พื้นที่ผิวที่สัมผัสกับอากาศจะน้อยลง ทำให้ปฏิกิริยาตามธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไปเกิดขึ้นช้าลง มะม่วงดิบของเราก็ยังคงความน่าทานด้วยสีเขียวสดได้นานกว่าเดิมค่ะ 6. ปอกทันทีเมื่อต้องการใช้ รู้ไหมคะว่า การปอกเปลือกมะม่วงดิบทันทีเมื่อต้องการใช้ เป็นวิธีที่ตรงจุดและได้ผลดีมากค่ะ เพราะเปลือกของมะม่วงดิบทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกันเนื้อด้านในจากการสัมผัสกับอากาศโดยตรง เมื่อเราปอกเปลือกออกเมื่อไหร่ ผิวของเนื้อมะม่วงก็จะเริ่มทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศทันที การที่เราปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ปอกเปลือก ก็เท่ากับว่าเรายังคงรักษาเกราะป้องกันนี้ไว้ ทำให้โอกาสที่ผิวมะม่วงจะดำคล้ำน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดเจน รอจนกว่าจะถึงเวลาที่เราจะนำมะม่วงดิบไปประกอบอาหารหรือรับประทาน การปอกเปลือกในตอนนั้นจึงเป็นเหมือนการลดระยะเวลาที่เนื้อมะม่วงต้องเผชิญกับอากาศ ซึ่งช่วยคงสีสันที่น่าทานไว้ได้ดีที่สุดค่ะ 7. ปอกเปลือกอย่างเบามือ การออกแรงมากเกินไปในขณะปอก อาจทำให้ผิวมะม่วงช้ำหรือเกิดรอยช้ำเล็กๆ ที่เรามองไม่เห็นได้ง่ายๆ ซึ่งรอยช้ำเหล่านี้เองที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดปฏิกิริยาที่ทำให้มะม่วงที่ปอกมีสีดำคล้ำ ทำให้เอนไซม์สัมผัสกับอากาศมากขึ้นและเกิดเป็นสีดำคล้ำในที่สุด การปอกอย่างนุ่มนวลและระมัดระวังมากขึ้น จึงช่วยลดการบอบช้ำของผิวมะม่วง ทำให้ผิวยังคงเรียบเนียนและลดโอกาสการเกิดสีดำได้ค่ะ 8. ปอกเป็นแนวเดียวกัน หลายคนอาจเคยเห็นบางคนปอกเปลือกมะม่วงเป็นแนวยาวไปในทางเดียวกัน ซึ่งการปอกเปลือกมะม่วงดิบให้เป็นแนวเดียวกัน ก็เป็นเทคนิคที่ช่วยลดการดำคล้ำได้เช่นกันค่ะ ลองจินตนาการว่าถ้าเราปอกแบบสะเปะสะปะ ไม่เป็นทิศทางเดียวกัน จะทำให้เกิดรอยขรุขระและผิวที่ไม่เรียบเนียน ซึ่งต่อจากนั้นก็จะเป็นจุดที่อากาศเข้าไปสัมผัสกับเนื้อมะม่วงได้มากขึ้นค่ะ จึงทำให้เกิดปฏิกิริยากับอากาศและเปลี่ยนสีได้ง่ายกว่า แต่การปอกให้เป็นแนวเดียวกันอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผิวของมะม่วงเรียบเสมอกัน ลดพื้นที่ผิวสัมผัสกับอากาศโดยรวม และช่วยรักษาเนื้อสัมผัสของมะม่วงให้ยังคงสภาพดี ไม่บอบช้ำมากนัก และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือมะม่วงดิบของเราจะยังคงสีเขียวสดใสได้นานยิ่งขึ้นค่ะ 9. ปอกเปลือกให้ลึก หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาว่า การปอกเปลือกมะม่วงดิบให้ลึกลงไปหน่อย จะช่วยไม่ให้เนื้อมะม่วงดำคล้ำได้ ซึ่งในแง่หนึ่งก็เป็นความจริงค่ะ เพราะบริเวณใกล้เปลือกของมะม่วงดิบมักจะมีเอนไซม์ในปริมาณที่เข้มข้นกว่าส่วนอื่น เมื่อเราปอกเปลือกออกไปลึกหน่อย ก็เท่ากับว่าเราได้กำจัดส่วนที่มีเอนไซม์นี้ออกไปมากขึ้น ทำให้โอกาสที่เนื้อมะม่วงส่วนที่เหลือจะสัมผัสกับออกซิเจนและเกิดปฏิกิริยาสีน้ำตาลลดลง ซึ่งในบริบทของการปอกเปลือกมะม่วงดิบเพื่อไม่ให้ดำ อาจจะไม่ได้มีตัวเลขที่ตายตัวว่าต้องลึกกี่มิลลิเมตรค่ะ แต่โดยทั่วไปแล้วหมายถึงการปอกให้เลยชั้นเปลือกสีเขียวออกไปอีกเล็กน้อย จนถึงส่วนที่เป็นเนื้อสีขาวอมเขียวอ่อนๆ อย่างไรก็ตามการปอกเปลือกให้ลึกเกินไปก็อาจจะทำให้เราเสียเนื้อมะม่วงส่วนที่ดีไปโดยใช่เหตุ และถึงแม้จะปอกลึกแค่ไหน หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีการป้องกันอื่นๆ เนื้อมะม่วงก็ยังมีโอกาสเปลี่ยนสีได้อยู่ดี ดังนั้นการปอกเปลือกให้ลึกจึงเป็นเพียงหนึ่งในวิธีช่วยลดการดำคล้ำ แต่ไม่ใช่วิธีที่ป้องกันได้ทั้งหมดนะคะ 10. ปอกอย่างรวดเร็ว คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การปอกมะม่วงดิบให้เสร็จโดยเร็ว ก็เป็นอีกเทคนิคสำคัญในการชะลอการดำคล้ำได้ เพราะยิ่งเราใช้เวลานานเท่าไหร่ เนื้อมะม่วงที่ถูกปอกเปลือกแล้วก็จะยิ่งมีโอกาสสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศมากขึ้นเท่านั้น การปอกมะม่วงที่ใช้เวลานานจนเกินไป เหมือนเป็นการเปิดประตูให้เอนไซม์ทำงานได้เต็มที่และเปลี่ยนสีของมะม่วง การปอกอย่างคล่องแคล่วและรวดเดียวจบ จึงช่วยลดระยะเวลาที่เนื้อมะม่วงสัมผัสกับอากาศโดยตรง ทำให้ปฏิกิริยาสีน้ำตาลเกิดขึ้นช้าลง มะม่วงก็จะยังคงสีเขียวอ่อนหรือสีขาวนวลน่าทานได้นานกว่าค่ะ 11. เช็ดหรือล้างน้ำยางทันที วิธีนี้หลายคนอาจจะมองข้ามไป แต่การเช็ดน้ำยางที่ไหลออกมาจากขั้วมะม่วงดิบหลังปอกเปลือกทันที ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยป้องกันการดำคล้ำได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียวค่ะ เพราะในน้ำยางของมะม่วงดิบจะมีเอนไซม์และสารประกอบตามธรรมชาติ ที่สามารถเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชันได้ เมื่อน้ำยางไหลมาสัมผัสกับเนื้อมะม่วงที่ปอกเปลือกใหม่ๆ ก็จะยิ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนสีเป็นสีดำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น การใช้ผ้าสะอาด การล้างน้ำยางออกหรือกระดาษที่ปลอดภัยกับอาหารมาซับน้ำยางออกทันที จึงช่วยลดปริมาณสารที่ก่อให้เกิดการดำคล้ำ และทำให้เนื้อมะม่วงคงความสดใสได้นานยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนการกำจัดตัวการที่ทำให้สีของมะม่วงเปลี่ยนไปตั้งแต่เนิ่นๆ นั่นเองนะคะ 12. เก็บในที่เย็นทันที การนำมะม่วงดิบที่ปอกเปลือกแล้วไปเก็บไว้ในที่เย็นทันที ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีสำคัญที่ช่วยชะลอการดำคล้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะอุณหภูมิที่ต่ำจะช่วยลดอัตราการทำงานของเอนไซม์โพลีในมะม่วง ซึ่งเป็นตัวการหลักที่ทำให้มะม่วงเปลี่ยนสี เหมือนเป็นการทำให้กระบวนการทางเคมีต่างๆ ในเนื้อมะม่วงทำงานช้าลง เมื่อเอนไซม์ทำงานช้าลง ปฏิกิริยาออกซิเดชันก็จะเกิดขึ้นได้ยากขึ้น ทำให้มะม่วงยังคงความสดและสีสันน่ารับประทานได้นานกว่าการวางทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องนะคะ ดังนั้นหลังจากปอกเปลือกแล้ว การรีบนำไปแช่ในตู้เย็น หรือเก็บในภาชนะที่มีน้ำแข็ง ก็เป็นอีกเคล็ดลับที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับใครที่อยากให้มะม่วงดิบไม่ดำคล้ำง่ายค่ะ จบแล้วค่ะ กับเทคนิคแบบมืออาชีพทั้ง 12 ข้อ เป็นยังไงบ้างค่ะ สนใจเลือกใช้วิธีการไหนเป็นพิเศษ ที่ยังไงก็ตามนะคะ ควรจะเลือกใช้หลากหลายแนวทางในคราวเดียวกัน เพราะจากที่ผู้เขียนได้ลองมาตลอด พบว่า พอปอกมะม่วงด้วยมีดที่คม โดยในระหว่างนั้นก็ปอกแบบทะนุถนอม และปอกเปลือกของมะม่วงไปในแนวเดียวกัน และทำเป็นชิ้นใหญ่หน่อย และถ้ายังไม่ทานทันที ผู้เขียนได้ลองเก็บเข้ากล่องสำหรับใส่อาหารที่มีฝาปิด และนำเข้าตู้เย็นเพื่อเก็บรักษาคุณภาพ และเชื่อไหมคะว่ามะม่วงยังคงสีสวย อย่างไรก็ตามผู้เขียนไม่ได้ปอกเปลือกมะม่วงดิบไว้แบบเยอะๆ นะคะ เพราะจะเตรียมไว้แค่พอดีกินเท่านั้น กับในบางครั้งจะปอกก็ตอนจะได้จัดเสิร์ฟเท่านั้น ที่โดยสรุปแล้วเคล็ดลับทั้งหมดในบทความนี้ช่วยชีวิตเอาไว้ได้มากตอนมีมะม่วงดิบต้องปอกค่ะ โดยคุณผู้อ่านก็สามารถนำแนวทางข้างต้นไปใช้ได้เหมือนกัน และอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงพอจะมองภาพออกบ้างแล้วนะคะ ด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไปค่ะ เครดิตภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปกและภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน ออกแบบภาพหน้าปกโดยผู้เขียนใน Canva เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล บทความอื่นที่เกี่ยวข้องโดยผู้เขียน 15 ผลไม้มีเมล็ดเยอะ ความอร่อยไม่น้อย มีอะไรบ้าง วิธีเลือกซื้อผลไม้สด แบบพร้อมทาน ดูสะอาด น่าซื้อ 10 วิธีดูมะม่วงน้ำดอกไม้แก่จัด เก็บจากต้น มาบ่มให้สุกเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !