9 แนวทางกินอาหารตามฤดูกาล เพื่อคงคุณค่า และลดการใช้สารเร่ง มารู้กันเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ทุกวันนี้เรามีอาหารให้เลือกมากมายตลอดทั้งปี จนแทบลืมไปว่าธรรมชาติมีฤดูกาลเป็นจังหวะของการให้ พืชผลแต่ละชนิดมีเวลาของตัวเองในการเติบโต งอกงาม และให้รสชาติที่ดีที่สุดในช่วงเวลาหนึ่ง แต่การบริโภคแบบไม่คำนึงถึงฤดูกาล เช่น การกินผักผลไม้นอกฤดูหรือของนำเข้า อาจทำให้เราห่างไกลจากธรรมชาติอย่างไม่รู้ตัว ทั้งยังส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้สารเร่งเติบโต การขนส่งระยะไกล และการเก็บรักษาที่ใช้พลังงานสูง ซึ่งการกลับมากินตามฤดูจึงเป็นการฟื้นความสมดุลระหว่างคนกับธรรมชาติผ่านจานอาหารในแต่ละวันค่ะ ดังนั้นในบทความนี้เราจะได้รู้กันว่า จะทำยังไงดีให้เรากินอาหารได้ตามฤดูกาลมากขึ้น และมองเห็นภาพรวมของแนวทางการกินตามฤดูกาล ที่ไม่เพียงช่วยคงคุณค่าของอาหาร แต่ยังลดการใช้สารเคมีและสร้างความเข้าใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวไปพร้อมกัน โดยเมื่ออ่านจบเราจะมองอาหารในมุมมองใหม่ เห็นว่าทุกสิ่งที่เรากินล้วนมีจังหวะของตัวเอง และเพียงแค่ปรับมุมมองเรื่องการเลือกซื้อ วางแผนเมนู และเรียนรู้จากธรรมชาติ เราก็สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ส่งผลใหญ่ต่อทั้งสุขอนามัยของเราและความยั่งยืนของโลกใบนี้แล้วค่ะ กับแนวทางดังต่อไปนี้ 1. เลือกผักผลไม้ที่ออกตามฤดู การเลือกกินผักผลไม้ที่ออกตามฤดูกาล คือ หัวใจของการกินอย่างมีคุณภาพค่ะ เพราะธรรมชาติได้ออกแบบจังหวะการเจริญเติบโตของพืชให้สอดคล้องกับสภาพอากาศ ความชื้น และอุณหภูมิในช่วงเวลานั้นๆ เช่น ผักใบเขียวมักงามในหน้าหนาว ผลไม้ฉ่ำน้ำอย่างแตงโมหรือมะม่วงมักให้ผลในหน้าร้อน และเห็ดจะขึ้นมากในช่วงฤดูฝน ผักผลไม้ตามฤดูเหล่านี้มักไม่ต้องพึ่งพาสารเร่งโตหรือสารยืดอายุ เพราะสุกและงอกงามตามธรรมชาติ รสชาติจะเข้มข้นกว่าผลผลิตนอกฤดู และยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า เนื่องจากได้รับสารอาหารเต็มที่ในระยะเวลาที่เหมาะสมกับการเติบโตของพืชแต่ละชนิด นอกจากดีต่อสุขอนามัยของผู้บริโภคแล้ว การเลือกกินตามฤดูกาลยังช่วยลดการใช้สารเคมีในระบบการผลิตและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะเกษตรกรไม่จำเป็นต้องเร่งผลผลิตด้วยฮอร์โมนหรือปลูกในสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งยังช่วยลดการขนส่งระยะไกล ซึ่งหมายถึงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรง ผู้บริโภคอย่างเราจึงสามารถร่วมดูแลโลกได้ เพียงแค่เริ่มต้นจากจานอาหารในแต่ละวัน การรู้ว่าฤดูไหนควรกินอะไร เช่น หน้าหนาวกินส้มเขียวหวาน หน้าร้อนกินแตงโม หน้าฝนกินเห็ด จะช่วยให้เราได้ทั้งรสชาติธรรมชาติ คุณค่าทางอาหาร และความสบายใจจากการกินอย่างรู้ที่มาอย่างแท้จริงนะคะ 2. ติดตามปฏิทินพืชผักผลไม้ไทย การติดตามปฏิทินพืชผักผลไม้ไทย คือ อีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้เรากินอย่างเข้าใจธรรมชาติและเลือกซื้อได้อย่างชาญฉลาดค่ะ เพราะผักผลไม้แต่ละชนิดจะมีช่วงเวลาออกผลที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เช่น มะม่วงออกผลมากในช่วงมีนาคมถึงพฤษภาคม ขณะที่ส้มเขียวหวานจะหวานฉ่ำที่สุดในช่วงพฤศจิกายนถึงมกราคม ส่วนเห็ดหลายชนิดขึ้นดีในฤดูฝน การรู้จังหวะของฤดูเก็บเกี่ยวทำให้เราสามารถวางแผนเมนูอาหารได้ล่วงหน้า เลือกซื้อของที่สดใหม่ในราคาที่ไม่สูง และมั่นใจได้ว่าได้กินของแท้จากธรรมชาติ ไม่ผ่านการเร่งสุกหรือเก็บไว้นานเกินไปจนเสียคุณค่า นอกจากนี้ปฏิทินพืชผักผลไม้ยังสะท้อนความหลากหลายของระบบเกษตรไทยในแต่ละภูมิภาค และเป็นเครื่องมือให้ผู้บริโภคเชื่อมโยงกับแหล่งผลิตในท้องถิ่นได้อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น เมื่อเรารู้ว่าเดือนนี้ภาคเหนือมีสตรอว์เบอร์รี่ ภาคอีสานมีเห็ดโคน ภาคกลางมีมะละกอสุก และภาคใต้มีลองกองหรือเงาะ เราก็สามารถสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นในเวลาที่เหมาะสม ช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนและลดการขนส่งข้ามพื้นที่ การติดตามปฏิทินพืชผักผลไม้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการกินดี แต่ยังเป็นการใช้ชีวิตที่เคารพต่อฤดูกาลและสิ่งแวดล้อมอีกด้วยค่ะ 3. สังเกตแหล่งปลูกท้องถิ่น การสังเกตแหล่งปลูกท้องถิ่น คือ หนึ่งในหลักสำคัญของการเลือกกินอาหารอย่างมีความรับผิดชอบต่อสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมค่ะ เพราะวัตถุดิบที่ปลูกในพื้นที่ใกล้เรามักสดใหม่กว่าและใช้สารเคมีน้อยกว่า เนื่องจากไม่ต้องผ่านการขนส่งไกลหรือเก็บรักษานานเพื่อรอจำหน่าย การเลือกซื้อผักผลไม้จากสวนในท้องถิ่นยังช่วยให้เรามั่นใจได้ว่า พืชเหล่านั้นเติบโตในสภาพอากาศที่เหมาะสมกับธรรมชาติของพืชชนิดนั้น ที่ไม่ต้องเร่งโตด้วยสารเคมีหรือฮอร์โมนสังเคราะห์ ผู้บริโภคจึงได้รสชาติที่ดีและปลอดภัยกว่า ขณะเดียวกันยังเป็นการลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์จากการขนส่งระยะไกลโดยตรงอีกด้วย นอกจากนี้การรู้จักสังเกตและสอบถามถึงแหล่งปลูก ยังทำให้เราเข้าใจระบบการเกษตรในพื้นที่มากขึ้น เช่น ผักจากโครงการหลวง ผักปลอดสารจากชุมชน หรือผลไม้พื้นบ้านที่ปลูกตามฤดูกาล สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ยังเป็นการสนับสนุนเกษตรกรให้คงอยู่ในวิถีธรรมชาติ ไม่ต้องพึ่งพาสารเร่งหรือเทคโนโลยีที่ทำลายความสมดุลของดินและน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นการเลือกของจากแหล่งปลูกใกล้บ้านยังช่วยให้เงินหมุนเวียนในชุมชน สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจฐานราก และทำให้เรากับเกษตรกรกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบอาหารที่ยั่งยืนร่วมกันค่ะ 4. อุดหนุนตลาดชุมชนและเกษตรกรโดยตรง การอุดหนุนตลาดชุมชนและเกษตรกรโดยตรง เป็นอีกแนวทางที่ช่วยให้เรากินอาหารที่ปลอดภัย สดใหม่ และลดการใช้สารเร่งได้อย่างแท้จริงค่ะ เพราะผักผลไม้จากมือเกษตรกรในพื้นที่มักปลูกตามฤดูกาล ไม่ต้องพึ่งพาสารเร่งเติบโตหรือสารยืดอายุเพื่อให้เก็บได้นาน การซื้อจากตลาดชุมชนจึงเป็นการเลือกกินของที่เพิ่งเก็บจากสวน มีความสดตามธรรมชาติ และรสชาติดีกว่าผลผลิตที่ผ่านการเก็บรักษาหรือขนส่งหลายวัน นอกจากนี้ยังช่วยให้เรามั่นใจในที่มาของอาหาร สามารถพูดคุยสอบถามวิธีปลูก การดูแล หรือแหล่งน้ำที่ใช้ได้โดยตรงจากผู้ผลิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดใหญ่หรือห้างสรรพสินค้ามักให้ข้อมูลไม่ได้ครบถ้วนเท่า การอุดหนุนเกษตรกรโดยตรงยังมีผลต่อความยั่งยืนของระบบอาหารในระดับชุมชน เพราะรายได้หมุนกลับไปสู่ผู้ผลิตอย่างเป็นธรรม ทำให้เกษตรกรมีแรงจูงใจในการปลูกแบบธรรมชาติ ไม่ต้องใช้สารเร่งเพื่อแข่งกับตลาดอุตสาหกรรม อีกทั้งยังช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์จากการขนส่งระยะไกล เพราะสินค้ามาจากพื้นที่ใกล้บ้านเราโดยตรง การเดินตลาดชุมชนจึงไม่ใช่แค่การจับจ่าย แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคกับผู้ผลิต และเป็นการร่วมกันรักษาความหลากหลายทางอาหารและวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืนนะคะ 5. ปรับเมนูตามฤดู การปรับเมนูตามฤดูคือการกินอย่างเข้าใจธรรมชาติและได้วัตถุดิบในช่วงเวลาที่ดีที่สุดค่ะ เพราะพืชผักผลไม้แต่ละชนิดจะมีฤดูกาลที่รสชาติและคุณค่าทางอาหารเต็มเปี่ยมที่สุด การเลือกปรับเมนูให้สอดคล้องกับสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ในแต่ละช่วง จึงช่วยให้เราได้กินของสดโดยไม่ต้องพึ่งสารเร่ง เช่น หน้าร้อนอาจเน้นเมนูที่ใช้แตงกวา แตงโม หรือมะม่วงสุก ส่วนหน้าหนาวเหมาะกับผักใบเขียวอย่างผักกาดหรือคะน้า และฤดูฝนจะมีเห็ดหรือหน่อไม้ให้เลือกมากมาย การปรับเมนูตามฤดูจึงเป็นทั้งการดูแลสุขอนามัยอาหารและเป็นวิถีที่ยั่งยืนในระยะยาวนะคะ ที่นอกจากได้ของสดใหม่แล้ว การปรับเมนูตามฤดูกาลยังช่วยลดค่าใช้จ่าย เพราะวัตถุดิบที่มีมากในช่วงนั้นมักมีราคาถูกและหาได้ง่ายในตลาด อีกทั้งยังส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม เพราะเราจะไม่ต้องพึ่งผลผลิตนอกฤดูที่ใช้พลังงานในการเพาะปลูกและขนส่งสูง การเลือกทำอาหารจากสิ่งที่มีอยู่ในฤดูกาลจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของรสชาติ แต่ยังเป็นการใช้ชีวิตที่คำนึงถึงความสมดุลของธรรมชาติและการลดผลกระทบต่อโลก เช่นเดียวกับการสืบสานภูมิปัญญาของคนไทยรุ่นก่อน ที่รู้จักใช้วัตถุดิบตามฤดูอย่างชาญฉลาดและเรียบง่ายค่ะ 6. หลีกเลี่ยงผลไม้หรือผักนอกฤดู การหลีกเลี่ยงผลไม้หรือผักนอกฤดู คือ การเลือกกินอย่างมีความรู้และเคารพวงจรธรรมชาติของพืชค่ะ เพราะผักผลไม้ที่ออกนอกฤดูส่วนใหญ่มักต้องพึ่งพาสารเร่งเติบโต ฮอร์โมนสังเคราะห์ หรือเทคโนโลยีเรือนกระจกที่ใช้พลังงานสูงเพื่อให้ได้ผลผลิตในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตตามธรรมชาติ แม้ภายนอกจะดูสวยงามแต่คุณค่าทางอาหารอาจลดลง และมีความเสี่ยงต่อสารตกค้างจากกระบวนการเร่งโต การเลือกกินเฉพาะของที่ออกตามฤดูจึงเป็นการป้องกันตนเองจากการบริโภคสารเคมีโดยไม่รู้ตัว และช่วยให้เราได้รสชาติแท้จริงของผักผลไม้แต่ละชนิดอย่างเต็มที่ การหลีกเลี่ยงของนอกฤดูกาลยังช่วยลดแรงกดดันต่อเกษตรกร เพราะเมื่อความต้องการบริโภคสินค้านอกฤดูลดลง เกษตรกรก็ไม่จำเป็นต้องใช้สารเร่งหรือเร่งปลูกเพื่อให้ทันตลาด อีกทั้งยังลดการนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้การขนส่งระยะไกลและก่อให้เกิดคาร์บอนฟุตพรินต์สูง การเลือกกินผักผลไม้ที่ออกตามฤดูในพื้นที่ของเราจึงเป็นการสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น และเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาความยั่งยืนของระบบอาหารในประเทศไทยอย่างแท้จริง ทั้งหมดนี้เริ่มต้นได้ง่ายๆ จากการตั้งคำถามทุกครั้งก่อนซื้อว่า “ผักหรือผลไม้นี้อยู่ในฤดูหรือไม่” 7. ฝึกปลูกผักสวนครัวเอง รู้ไหมคะว่าการฝึกปลูกผักสวนครัวเอง คือ จุดเริ่มต้นของการเข้าใจวงจรธรรมชาติและความยั่งยืนในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริงค่ะ เพราะเมื่อเราได้ลงมือปลูก เราจะเห็นว่าผักต้องใช้เวลาในการงอก โต และให้ผลตามฤดูกาลโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งสารเร่งใดๆ ผักที่เราปลูกเองแม้จะไม่ได้งามเท่าที่ขายในตลาด แต่มีคุณค่าในความปลอดภัย ความสดใหม่ และรสชาติที่สะท้อนความใส่ใจของผู้ปลูก การปลูกผักในบ้านยังช่วยให้เราเรียนรู้เรื่องดิน น้ำ แสงแดด และการดูแลพืชอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงโดยตรงกับสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมในบ้านและวิถีชีวิตที่พึ่งพาตนเองได้มากขึ้น นอกจากนี้การปลูกผักสวนครัวเองยังช่วยลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกจากการซื้อของบ่อยๆ ลดขยะในครัวเรือน และลดคาร์บอนฟุตพรินต์จากการขนส่งอาหารระยะไกลได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้มีพื้นที่จำกัดก็สามารถเริ่มจากผักง่ายๆ อย่างต้นหอม กะเพรา พริก หรือผักบุ้งในกระถางเล็กๆ เมื่อเห็นผลผลิตงอกงามจากมือเราเอง ความสุขใจจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้สืบต่อแนวทางนี้ไปเรื่อยๆ การปลูกผักจึงไม่ใช่เพียงงานอดิเรก แต่คือการสร้างระบบอาหารยั่งยืนขนาดเล็กในบ้านของเรา ที่ช่วยทั้งลดการใช้สารเคมี และเพิ่มความมั่นคงทางอาหารในวิถีที่เรียบง่ายแต่ทรงคุณค่าค่ะ 8. รู้จักเก็บรักษาอย่างเหมาะสม หลายคนยังไม่รู้ว่าการรู้จักเก็บรักษาอาหารอย่างเหมาะสม คือ อีกขั้นตอนสำคัญที่ช่วยคงคุณค่าของผักผลไม้ตามฤดูกาล ให้อยู่ได้นานโดยไม่ต้องพึ่งสารกันเสียหรือสารยืดอายุ เพราะแม้เราจะเลือกของสดใหม่มาจากแหล่งปลูกดีเพียงใด หากจัดเก็บไม่ถูกวิธี คุณค่าทางอาหารก็อาจสูญหายหรือเกิดการปนเปื้อนได้ง่าย การเก็บผักใบเขียวควรห่อด้วยกระดาษซับน้ำหรือใส่ภาชนะปิดหลวมๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเท ส่วนผลไม้สุกควรแยกเก็บจากผลไม้ดิบ เพื่อลดการเร่งสุกตามธรรมชาติจากก๊าซเอทิลีน การแช่เย็นควรปรับอุณหภูมิให้เหมาะกับชนิดของผักผลไม้ เช่น ผักกาดหรือคะน้าควรอยู่ที่ประมาณ 4-6 องศาเซลเซียส ขณะที่ผลไม้เมืองร้อนบางชนิดอย่างกล้วยหรือมะม่วง ไม่ควรแช่เย็นเพราะจะทำให้เนื้อคล้ำและเสียรสชาติ ในขณะเดียวกันเราสามารถยืดอายุอาหารตามธรรมชาติได้ด้วยวิธีการถนอมอาหารแบบดั้งเดิม เช่น การดอง การตากแห้ง การอบ หรือการทำแยม ซึ่งช่วยเก็บรสชาติของฤดูกาลไว้ได้นานโดยไม่ต้องใช้สารเคมี การเก็บรักษาอย่างเหมาะสมยังช่วยลดปริมาณอาหารเหลือทิ้งในครัวเรือน ทำให้เราใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การจัดระบบตู้เย็นอย่างมีสติ เช่น การติดป้ายวันหมดอายุ หรือวางของที่ซื้อมาก่อนให้ใช้ก่อน ก็เป็นนิสัยเล็กๆ ที่ช่วยสร้างวัฒนธรรมการกินอย่างรู้คุณค่า การรู้จักเก็บรักษาจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของความสะอาด แต่คือการเห็นคุณค่าของอาหารและวงจรชีวิตของธรรมชาติในทุกมื้อที่เรากินค่ะ 9. ใช้การกินเป็นการเรียนรู้สิ่งแวดล้อม คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่าการใช้การกินเป็นการเรียนรู้สิ่งแวดล้อม คือ แนวคิดที่ช่วยให้เรามองอาหารไม่ใช่เพียงสิ่งที่หล่อเลี้ยงร่างกาย แต่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเรากับธรรมชาติ เพราะทุกคำที่เรากินมีที่มา ตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ที่ถูกปลูกในดิน น้ำที่หล่อเลี้ยงพืช แสงแดดที่ช่วยให้เติบโต ไปจนถึงแรงของเกษตรกรที่ดูแลผลผลิต การสังเกตสิ่งเหล่านี้ผ่านการกินช่วยให้เราเห็นความเชื่อมโยงระหว่างอาหารกับระบบนิเวศ เช่น เมื่อรู้ว่าฤดูฝนคือช่วงที่เห็ดและหน่อไม้ขึ้นมาก เราจะเข้าใจว่าธรรมชาติมีจังหวะการให้ของผลผลิต และเมื่อเห็นผักผลไม้บางชนิดขาดตลาดในบางฤดู เราจะรู้ว่าการผลิตอาหารมีขีดจำกัด ไม่สามารถเร่งให้เกิดได้ทุกเวลา การกินอย่างมีสติจึงเป็นการเรียนรู้แบบหนึ่งที่ปลูกฝังความเคารพต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันค่ะ นอกจากนี้การใช้การกินเป็นเครื่องมือเรียนรู้ยังสามารถส่งต่อความเข้าใจนี้ไปสู่คนรุ่นต่อไปได้ง่าย โดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่สามารถเรียนรู้เรื่องดิน น้ำ และอาหารจากของจริง เช่น การพาไปตลาดชุมชนเพื่อดูว่ามีผักอะไรในแต่ละฤดู การปลูกผักเล็กๆ ในกระถาง หรือการสังเกตว่าของที่กินทุกวันมาจากที่ใด การเรียนรู้เช่นนี้จะสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรและแรงงานมนุษย์ พร้อมทั้งช่วยลดพฤติกรรมบริโภคเกินจำเป็น เมื่อเราเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่อยู่บนจานของเราเชื่อมโยงกับธรรมชาติอย่างไร การกินแต่ละมื้อก็จะกลายเป็นบทเรียนเล็กๆ ที่ทำให้เราใกล้ชิดและรับผิดชอบต่อโลกมากขึ้นในทุกวันค่ะ จากเนื้อหาข้างต้นจะเห็นได้ว่า การกินอาหารตามฤดูกาล คือ การกลับไปเชื่อมโยงกับธรรมชาติในแบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เพราะเมื่อเราเลือกกินสิ่งที่ธรรมชาติจัดสรรในแต่ละช่วงเวลา เราจะได้วัตถุดิบที่มีคุณค่า สดใหม่ และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสารเร่งหรือเทคโนโลยีที่ทำลายสมดุลของสิ่งแวดล้อม นี่คือวิถีการกินที่สอดคล้องกับจังหวะของโลก และเป็นการเห็นคุณค่าวงจรชีวิตของพืชผักผลไม้ที่เติบโตตามฤดูกาล การกินอย่างเข้าใจฤดูจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของสุขอนามัย แต่คือการใช้ชีวิตที่เชื่อมโยงกับระบบนิเวศอย่างมีสติค่ะ โดยเมื่อเราปรับมุมมองเรื่องอาหารให้ลึกซึ้งขึ้น จะเห็นว่าทุกการเลือกซื้อคือการลงคะแนนให้กับระบบอาหารแบบใดแบบหนึ่ง ซึ่งการเลือกของจากตลาดชุมชนหรือแหล่งปลูกท้องถิ่นไม่เพียงช่วยให้เราได้ของปลอดภัย แต่ยังช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกร สนับสนุนการเพาะปลูกแบบธรรมชาติ และลดคาร์บอนฟุตพรินต์จากการขนส่ง การกินจึงกลายเป็นพลังของการเปลี่ยนแปลงระดับชุมชนและระดับโลกได้ในเวลาเดียวกัน หากทุกคนเริ่มต้นจากจานของตัวเอง โลกทั้งใบก็จะค่อยๆ เคลื่อนไปสู่ความยั่งยืนมากขึ้นนะคะ และในชีวิตจริงเราสามารถนำแนวทางในบทความนี้ไปใช้ได้ง่ายๆ ด้วยการสังเกตฤดูกาลของผักผลไม้ไทย ติดตามปฏิทินเกษตร และปรับเมนูตามสิ่งที่มีในช่วงนั้น พร้อมฝึกปลูกผักเล็กๆ เองที่บ้าน เพื่อเข้าใจวงจรธรรมชาติและลดการพึ่งพาผลผลิตที่ใช้สารเร่ง การกินตามฤดูกาลจึงไม่ใช่เทรนด์ค่ะ แต่คือแนวทางการใช้ชีวิตที่ทำให้เรากลับมามีความสัมพันธ์กับโลกอย่างสมดุล ซึ่งได้ทั้งอาหารที่ดี สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และความสุขใจจากการกินอย่างรู้คุณค่าทุกมื้อ ที่โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนชอบเลือกซื้อผักและผลไม้ตามฤดูกาล เน้นของพื้นบ้าน ที่ปลูกได้ในชุมชน เลือกแบบปลูกปลอดสารพิษ และที่นี่ผู้เขียนก็ได้ปลูกผักและผลไม้ไว้กินเองในครัวเรือนด้วยนะคะ โดยล่าสุดนั้นก็ได้เริ่มปลูกกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลีและกะหล่ำปลีม่วงแล้ว และน่าจะเป็นเดือนหน้าก็จะเก็บกระชายที่ปลูกไว้ที่หน้าบ้านได้แล้วเหมือนกันค่ะ สำหรับผลไม้นั้นที่นี่มีมะม่วงหลายพันธุ์ ขนุน มะพร้าว ฝรั่งและแก้วมังกรค่ะ และถ้าพูดเรื่องการปรับเมนูอาหารตามฤดูกาลนั้น เป็นสิ่งที่ผู้เขียนทำตลอดนะคะ เพราะชอบทำอะไรใหม่ๆ และหลากหลายค่ะ ยังไงนั้นคุณผู้อ่านเองก็อย่าลืมนำแนวทางต่างๆ ในบทความนี้ไปใช้นะคะ และด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากคุณผู้อ่านชื่นชอบเนื้อหาแนวนี้ อย่าลืมกดติดตามหรือบันทึกโปรไฟล์ไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดข้อมูลใหม่ๆ ในบทความถัดไป หากสนใจอ่านบทความทั้งหมดของผู้เขียน ก็สามารถกดเข้าไปดูได้จากโปรไฟล์เช่นกันค่ะ #อาหารตามฤดูกาล #วิธีส่งเสริมสุขภาพ #อาหารพื้นบ้าน #ความปลอดภัยของอาหาร #FoodSafety เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก ถ่ายภาพโดย Jcomp จาก FREEPIK และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา ถ่ายภาพโดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 8 เมนูต้องมีมะเขือเทศสด ทำอะไรดีอร่อย ได้กินผักเพิ่มมากขึ้น 9 วิธีเลือกส้มเขียวหวาน ให้อร่อย ผลต้องเป็นแบบไหน น่าซื้อ 9 ทริครักษาคุณค่าทางอาหาร ในผักและผลไม้ ตามธรรมชาติที่มีอยู่ หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !