9 กุญแจสู่สุขาภิบาลอาหารในครัวเรือน เริ่มต้นจากบ้าน ง่ายๆ อ่านต่อเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล หลายครั้งที่คนทั่วไปเพิกเฉยต่อเรื่องสุขาภิบาลอาหารในบ้าน เพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือไม่จำเป็น ซึ่งบางคนเชื่อว่าแค่ทำอาหารให้สุกก็น่าจะปลอดภัยแล้ว โดยไม่ทันนึกถึงขั้นตอนอื่นๆ เช่น การล้างผักผลไม้ การล้างมือ หรือการจัดเก็บอาหารให้ถูกวิธี อีกทั้งความเคยชินและความเร่งรีบในชีวิตประจำวัน ยังทำให้หลายครอบครัวมองข้ามการทำความสะอาดอุปกรณ์ครัว หรือไม่ใส่ใจในการจัดการขยะอย่างถูกสุขลักษณะ เมื่อสิ่งเหล่านี้สะสมไปเรื่อยๆ ก็สามารถกลายเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยโดยไม่รู้ตัวได้ค่ะ ซึ่งจุดนี้สะท้อนว่าความไม่ตระหนักและการมองข้ามเรื่องเล็กๆ คือปัญหาหลักที่ทำให้สุขาภิบาลอาหารในบ้านไม่ถูกนำมาใช้จริงนะคะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สุขาภิบาลอาหารคือหัวใจสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขอนามัยของทุกคนในครอบครัว เนื่องจากการล้างมือก่อนทำอาหารสามารถป้องกันสิ่งก่อความเจ็บป่วยเข้าสู่ร่างกายได้ การเก็บอาหารดิบและสุกแยกกันช่วยลดการปนเปื้อน การล้างผักผลไม้ก็ช่วยลดสารเคมีตกค้าง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นขั้นตอนง่ายๆ ที่หากละเลยเพียงเล็กน้อยสามารถนำไปสู่ปัญหาใหญ่ ดังนั้นจุดสำคัญของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การรู้ แต่คือการลงมือทำอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน เพราะสุขาภิบาลอาหารไม่ได้ซับซ้อนจนเกินไป หากทุกคนในบ้านร่วมมือกันและทำเป็นนิสัย ครัวเรือนก็จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกมื้ออาหารจริงๆ และต่อไปนี้คือ 9 กุญแจสู่สุขาภิบาลอาหารในครัวเรือน เริ่มต้นจากบ้าน ง่ายๆ ค่ะ 1. รักษาความสะอาดของครัวและอุปกรณ์ สุขาภิบาลอาหารในครัวเรือนจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องยากค่ะ แต่เป็นสิ่งเล็กๆ ที่เราสามารถเริ่มได้จากบ้านของเราเอง ซึ่งการรักษาความสะอาดของครัวและอุปกรณ์ถือเป็นหัวใจหลักเลย เพราะครัวที่สะอาดย่อมทำให้อาหารที่เราปรุงปลอดภัยขึ้น โดยการเช็ดโต๊ะและอ่างล้างจานทุกวัน ช่วยลดการสะสมของจุลินทรีย์ที่มองไม่เห็น และการล้างมีด เขียง และหม้อหลังใช้ทันที ไม่เพียงแต่ทำให้พร้อมใช้งานครั้งต่อไป แต่ยังป้องกันการปนเปื้อนของจุลินทรีย์จากอาหารดิบไปสู่อาหารสุกได้อีกด้วยค่ะ และการเก็บอุปกรณ์ให้แห้งและเป็นระเบียบ ยังช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อราและแมลงรบกวน ส่วนฟองน้ำล้างจานก็ควรเปลี่ยนบ่อยๆ ไม่ควรใช้ซ้ำจนกลายเป็นแหล่งสะสมของสิ่งปนเปื้อนง่ายๆ รวมทั้งการล้างมือก่อนและหลังทำอาหาร ก็ถือเป็นก้าวเล็กๆ ที่ช่วยป้องกันการนำสิ่งก่อความเจ็บป่วยเข้าสู่ร่างกายได้โดยไม่รู้ตัวค่ะ ที่โดยสรุปแล้วสุขาภิบาลอาหารจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นการดูแลสุขอนามัยครอบครัวตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่บ้าน และยิ่งเราทำจนเป็นนิสัย ก็ยิ่งช่วยให้ทุกมื้ออาหารปลอดภัยและมั่นใจได้มากขึ้นนะคะ 2. แยกอาหารดิบและอาหารสุก การแยกอาหารดิบและอาหารสุก เป็นหลักสำคัญของสุขาภิบาลอาหารที่หลายคนอาจมองข้ามค่ะ แต่จริงๆ แล้วช่วยป้องกันการปนเปื้อนสิ่งปนเปื้อนได้อย่างมาก อาหารดิบ เช่น เนื้อสัตว์ ไก่ หรืออาหารทะเล มักมีจุลินทรีย์ที่อาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้ หากนำมาใช้ปนกับอาหารที่ปรุงสุกแล้ว จุลินทรีย์ที่มองไม่เห็นสามารถแพร่เข้าสู่อาหารที่เรากำลังจะรับประทานทันทีได้ ซึ่งการใช้เขียงและมีดแยกสำหรับหั่นเนื้อสัตว์กับผักหรืออาหารที่กินสดจึงเป็นเรื่องจำเป็นตามมานะคะ นอกจากนี้เรายังควรเก็บอาหารดิบไว้ในภาชนะปิดสนิท และจัดไว้ในช่องแช่แข็งหรือตู้เย็นชั้นล่าง เพื่อไม่ให้น้ำจากอาหารดิบหยดลงมาปนกับอาหารสุกหรือผักผลไม้ ซึ่งการจัดเก็บที่ถูกต้องมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของสิ่งปนเปื้อน และทำให้ทุกคนในครอบครัวมั่นใจได้ว่าทุกมื้ออาหารปลอดภัยค่ะ จะเห็นได้ว่าการแยกอาหารดิบและสุกจึงไม่ใช่เพียงกฎที่ฟังดูยุ่งยาก แต่เป็นวิธีง่ายๆ ที่ทำให้สุขาภิบาลอาหารในบ้านมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยลดโอกาสเจ็บป่วยที่มากับอาหารได้อย่างชัดเจนนะคะ 3. ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การปรุงอาหารให้สุกทั่วถึงเป็นอีกหนึ่งหลักสำคัญของสุขาภิบาลอาหารในครัวเรือนที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ เพราะความร้อนสามารถทำลายจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนมากับเนื้อสัตว์ ไข่ หรืออาหารทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากอาหารสุกไม่ทั่วถึง จุลินทรีย์ที่ยังหลงเหลืออยู่สามารถทำให้เกิดความเจ็บป่วยจากอาหารได้ง่าย โดยเฉพาะอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มักมีจุลินทรีย์ซ่อนอยู่ ซึ่งการสังเกตว่าอาหารสุกจริงหรือไม่ทำได้ง่ายๆ นะคะ เช่น เนื้อสัตว์ควรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือสีขาวข้างใน ไม่ควรเหลือสีชมพูตรงกลาง ส่วนอาหารทะเลควรเนื้อแน่นและไม่ใสเหมือนตอนดิบ และไข่ควรปรุงจนไข่ขาวและไข่แดงแข็ง ไม่เหลว การใช้ความร้อนที่พอเหมาะและใช้เวลาปรุงที่เพียงพอ จะช่วยให้เรามั่นใจว่าอาหารมีความเหมาะสมต่อการบริโภค ดังนั้นการใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยนี้ ถือเป็นการสร้างความมั่นใจในทุกมื้ออาหาร และทำให้สุขาภิบาลอาหารในบ้านเกิดผลจริง ลดความเสี่ยงต่อสุขอนามัยของครอบครัวได้มากนะคะ 4. รักษาอุณหภูมิที่เหมาะสม รู้ไหมคะว่า การรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเก็บอาหาร ถือเป็นหัวใจของสุขาภิบาลอาหารที่ทุกบ้านควรใส่ใจอย่างมาก เพราะอุณหภูมิที่ไม่ถูกต้องสามารถทำให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว โดยอาหารที่ต้องแช่เย็น เช่น เนื้อสัตว์ นม หรืออาหารทะเล ควรเก็บในตู้เย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส เพื่อชะลอการเติบโตของจุลินทรีย์นะคะ ส่วนอาหารที่ต้องเก็บในช่องแช่แข็ง ควรอยู่ที่อุณหภูมิต่ำกว่า -18 องศาเซลเซียส เพื่อคงคุณภาพและความปลอดภัยค่ะ ในทางตรงกันข้ามอาหารที่ปรุงสุกแล้ว หากต้องการเก็บไว้นานก็ควรเก็บในภาชนะปิดสนิทและนำเข้าตู้เย็นภายใน 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการบูดเสีย ซึ่งการจัดเก็บอย่างถูกวิธีช่วยลดการเสื่อมคุณภาพ และลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากอาหารเป็นสื่อ โดยการใส่ใจเรื่องอุณหภูมิจึงไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่เป็นการดูแลตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บจนถึงการนำมาบริโภค ทำให้ทุกมื้ออาหารปลอดภัยมากขึ้นค่ะ 5. ใช้วัตถุดิบที่ปลอดภัย หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า การใช้วัตถุดิบที่ปลอดภัยคือรากฐานของสุขาภิบาลอาหารในครัวเรือนที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ เพราะหากเริ่มต้นจากวัตถุดิบที่สะอาดและมีคุณภาพ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนตั้งแต่แรกได้ โดยวัตถุดิบที่ดีควรมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น ตลาดที่รักษาความสะอาดหรือร้านค้าที่มีการตรวจสอบคุณภาพ การเลือกซื้อผักควรสังเกตว่าไม่มีรอยช้ำหรือคราบสารเคมีหรือไม่ ส่วนเนื้อสัตว์ควรสด ไม่มีกลิ่นผิดปกติ และมีสีตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบวันหมดอายุบนบรรจุภัณฑ์อาหารแปรรูปเสมอค่ะ และในเรื่องของการล้างผัก ผลไม้ หรือวัตถุดิบต่างๆ ก่อนปรุง ก็เป็นขั้นตอนสำคัญในการกำจัดสิ่งสกปรกและสารตกค้างที่ติดมากับผิวนะคะ ดังนั้นการเลือกใช้วัตถุดิบที่ปลอดภัยไม่เพียงช่วยให้มื้ออาหารอร่อยขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการดูแลสุขอนามัยของทุกคนในครอบครัวในระยะยาว เพราะอาหารที่สะอาดและได้มาตรฐาน คือจุดเริ่มต้นของความมั่นใจทุกครั้งที่เรารับประทานค่ะ 6. ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด สำหรับการล้างผักและผลไม้ให้สะอาด ก็ถือเป็นขั้นตอนเล็กๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อสารเคมีและจุลินทรีย์ได้อย่างมากค่ะ เพราะผักและผลไม้มักมีดิน ฝุ่น สารกำจัดศัตรูพืช หรือจุลินทรีย์ติดอยู่ที่ผิว หากนำมารับประทานโดยไม่ล้าง สามารถก่อให้เกิดความเจ็บป่วยได้ง่าย ซึ่งวิธีที่ปลอดภัยคือการล้างด้วยน้ำสะอาดแบบไหลผ่านหลายครั้งค่ะ และควรถูเบาๆ ที่ผิวเพื่อขจัดสิ่งสกปรกออก หากเป็นผักใบก็สามารถแช่น้ำผสมเกลือหรือน้ำส้มสายชูเจือจางหรือน้ำยาล้างผัก เพื่อช่วยลดสารตกค้าง ก่อนนำมาล้างน้ำสะอาดอีกครั้งนะคะ ส่วนผลไม้ที่มีเปลือกหนา เช่น ส้ม แตงโม หรือมะม่วง เราก็ต้องล้างก่อนปอกเปลือกเช่นกันค่ะ เพราะสิ่งปนเปื้อนที่ติดอยู่ด้านนอกสามารถแพร่เข้าสู่เนื้อผลไม้ขณะปอกได้ การล้างผักผลไม้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสะอาดภายนอก แต่คือการตัดวงจรสิ่งสกปรกที่สามารถเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว ซึ่งการใส่ใจขั้นตอนง่ายๆ นี้จะช่วยให้ครอบครัวมั่นใจได้ว่า มื้ออาหารทุกจานปลอดภัยและลดความเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยที่มากับอาหารได้จริงค่ะ 7. เก็บอาหารอย่างถูกวิธี การเก็บอาหารอย่างถูกวิธีเป็นส่วนสำคัญของสุขาภิบาลอาหารในครัวเรือนค่ะ เพราะช่วยยืดอายุการเก็บ ลดการปนเปื้อน และป้องกันการความเจ็บป่วยจากอาหารเสีย สำหรับอาหารแห้ง เช่น ข้าวสาร แป้ง หรือถั่ว ก็ควรเก็บในภาชนะที่ปิดสนิท เพื่อป้องกันความชื้นและแมลง ส่วนอาหารสดควรแยกเก็บในตู้เย็น โดยอาหารดิบอย่างเนื้อสัตว์ควรอยู่ชั้นล่างสุด เพื่อป้องกันน้ำหยดลงมาเปื้อนอาหารอื่น ขณะที่อาหารสุกควรใส่ภาชนะปิดและเก็บแยกไว้ชัดเจนค่ะ และการจัดเรียงอาหารในตู้เย็นก็มีความสำคัญค่ะ เราควรเก็บอาหารที่ใกล้หมดอายุไว้ด้านหน้า เพื่อจะได้ใช้ก่อน และลดการลืมจนเน่าเสีย นอกจากนี้ไม่ควรแช่อาหารแน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้อากาศเย็นหมุนเวียนไม่ทั่วถึง และส่งผลให้อาหารเสียได้เร็วขึ้น การเก็บอาหารที่ถูกต้องมีความสำคัญนะคะ และยังเป็นการใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยให้ทุกมื้ออาหารปลอดภัย คุ้มค่ากับการซื้อ และสร้างความมั่นใจในสุขอนามัยของทุกคนในครอบครัวค่ะ 8. ล้างมือให้สะอาด การล้างมือให้สะอาดถือเป็นก้าวเล็กๆ แต่สำคัญที่สุดของสุขาภิบาลอาหารในครัวเรือนค่ะ เพราะมือของเราสามารถนำสิ่งปนเปื้อนเข้าสู่อาหารได้โดยไม่รู้ตัว ทั้งจากการจับสิ่งของรอบตัว โทรศัพท์ เงิน หรือแม้แต่การหยิบจับอาหารดิบ หากไม่ล้างมือก่อนลงมือปรุงอาหาร สิ่งปนเปื้อนสามารถเข้าสู่ร่างกายของคนในบ้านได้ง่าย ซึ่งการล้างมือด้วยสบู่และน้ำไหลอย่างน้อย 20 วินาที โดยเฉพาะก่อนทำอาหาร และหลังจับของดิบ และหลังเข้าห้องน้ำ เป็นวิธีที่ป้องกันได้ดีที่สุดค่ะ เพราะหลายคนมองข้ามขั้นตอนนี้ เพราะคิดว่าใช้เวลาไม่นาน แต่จริงๆ แล้วการล้างมือสามารถช่วยลดโอกาสการเจ็บป่วยจากอาหารเป็นสื่อได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังสร้างสุขนิสัยที่ดีให้กับทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะเด็กๆ ที่จะเรียนรู้การดูแลสุขอนามัยตั้งแต่เล็กๆ การล้างมือจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก หากแต่เป็นเกราะป้องกันชั้นแรกของสุขาภิบาลอาหาร ที่ทำให้ทุกมื้อมั่นใจได้ว่าปลอดภัยจริง 9. จัดการขยะอย่างถูกสุขลักษณะ หลายคนมองภาพไม่ออกว่า การจัดการขยะอย่างถูกสุขลักษณะเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญของสุขาภิบาลอาหารในครัวเรือนที่มักถูกมองข้าม ขยะที่เกิดจากการทำอาหาร เช่น เศษผัก เปลือกผลไม้ หรือเศษเนื้อ เป็นต้น หากปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่จัดการ สามารถกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงวัน หนู และแมลงสาบได้ค่ะ ซึ่งเป็นพาหะของสิ่งปนเปื้อนได้ง่าย ซึ่งการแยกขยะออกเป็นประเภท เช่น ขยะอินทรีย์ ขยะรีไซเคิล และขยะทั่วไป จะช่วยให้การจัดเก็บและกำจัดสะดวกและปลอดภัยมากขึ้นได้ นอกจากนี้ควรใช้ถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด เพื่อลดกลิ่นรบกวนและป้องกันสัตว์และแมลงพาหะ ขยะอินทรีย์ควรนำไปทิ้งทุกวัน ไม่ควรสะสมไว้ในบ้านนานเกินไป ส่วนขวดพลาสติกหรือกระดาษก็ควรล้างและตากให้แห้งก่อนทิ้ง เพื่อลดการปนเปื้อนและทำให้สามารถรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น ที่โดยสรุปแล้วการจัดการขยะที่ถูกสุขลักษณะ ไม่เพียงแต่ทำให้ครัวสะอาดและลดสิ่งปนเปื้อนได้ค่ะ แต่ยังช่วยให้สิ่งแวดล้อมรอบบ้านดีขึ้น และเป็นการสร้างสุขนิสัยที่ปลอดภัยต่อสุขอนามัยของครอบครัวในระยะยาวได้อีกด้วย และแนวทางสำหรับการจัดการด้านสุขาภิบาลอาหารที่บ้านก็มีเพียงเท่านี้ค่ะ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วน่าจะพอมองภาพออกบ้างแล้วนะคะ? ที่โดยสรุปแล้วในการเริ่มต้นดูแลสุขาภิบาลอาหารในครัวเรือนนั้น สิ่งที่ควรทำอันดับแรกคือการปรับนิสัยเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำได้ทันทีค่ะ เช่น การล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังทำอาหาร การล้างผักผลไม้ทุกครั้งก่อนนำมาปรุง และการเก็บอาหารดิบแยกจากอาหารสุกให้ชัดเจน เพราะวิธีการเหล่านี้ไม่ซับซ้อน แต่ช่วยลดความเสี่ยงจากสิ่งปนเปื้อนได้อย่างมาก หลังจากนั้นจึงค่อยขยับไปสู่การรักษาความสะอาดของครัว เช่น เช็ดโต๊ะ เคาน์เตอร์ และอุปกรณ์ทำอาหารอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเปลี่ยนฟองน้ำหรือผ้าเช็ดจานบ่อยๆ เพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรก ซึ่งการเริ่มจากสิ่งที่ทำได้ง่าย จะช่วยสร้างแรงจูงใจและทำให้เรารักษาความสะอาดได้ต่อเนื่องโดยไม่รู้สึกว่าลำบากจนเกินไปนะคะ โดยเมื่อพื้นฐานเริ่มชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการทำให้เป็นระบบมากขึ้น เช่น จัดเก็บอาหารอย่างถูกวิธี ตรวจสอบวันหมดอายุของอาหารแปรรูป และทิ้งขยะอินทรีย์ทุกวันโดยใช้ถังที่มีฝาปิดมิดชิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ครัวสะอาด ไม่เป็นแหล่งเพาะสิ่งก่อความเจ็บป่วยในคน และลดปัญหากลิ่นเหม็นรบกวน นอกจากนี้การปลูกฝังให้ทุกคนในครอบครัวช่วยกัน เช่น ให้ลูกๆ ล้างมือก่อนกินข้าว หรือช่วยแยกขยะเล็กๆ น้อยๆ ก็จะทำให้สุขาภิบาลอาหารเป็นเรื่องของทุกคนในบ้าน ที่ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งการเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้สุขาภิบาลอาหารในครัวเรือนเป็นจริงได้ในชีวิตประจำวันค่ะ สำหรับผู้เขียนเองนั้นก็ได้นำแนวทางปฏิบัติต่างๆ มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันตลอดค่ะ โดยพบว่าทุกข้อสำคัญมากและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การเลือกซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารส่วนมากผู้เขียนทำเองค่ะ ตอนหั่นอาหารที่นี่มีเขียงมากกว่าหนึ่งอันนะคะ เพื่อลดการปนเปื้อนข้ามระหว่างอาหารดิบและอาหารสุก ซึ่งการจัดเก็บอาหารให้ถูกสุขลักษณะก็ได้ทำตลอดค่ะ ยังไงนั้นคุณผู้อ่านเองก็อย่าลืมนำไปประยุกต์ใช้นะคะ เพราะอาหารนำมาซึ่งความเจ็บป่วยในคนเราได้ จึงต้องใส่ใจตั้งแต่ในบ้านของเราค่ะ ด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไป ถ้าต้องการอ่านบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน ให้กดดูโปรไฟล์ได้เลยค่ะ #สุขาภิบาลอาหาร #ความปลอดภัยในอาหาร #FoodSanitation เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก โดย Or Hakim จาก Unplash และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล ฟองน้ำล้างจาน เปลี่ยนตอนไหนดี ถึงถูกสุขลักษณะ มาดูกัน! 9 เทคนิคจัดเก็บอาหารที่เหลือ ในตู้เย็น แบบไหนถูกสุขลักษณะ 9 ทริคเลือกซื้อไส้กรอก มาทำอาหาร สังเกตแบบไหนดี ถูกสุขลักษณะ หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !