ขนมดอกบัว แบบไหนดี มีคุณภาพ และน่าซื้อ | บทความโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ขนมไทยเป็นขนมที่ผู้เขียนก็ชอบทานค่ะ ทั้งขนมไทยแบบอบ ขนมไทยแบบนึ่ง ขนมไทยแบบต้ม และขนมไทยแบบทอด ซึ่งขนมไทยแบบทอดนั้นหลายคนก็ซื้อทานบ่อยๆ จริงไหมคะ? โดยขนมดอกบัวที่มีสีเขียวสดใส หอมอร่อย เป็นขนมประจำและทานเรื่อยๆ ของหลายคน ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ความนุ่มอร่อยที่ลงตัว ทำให้พอเห็นขนมชนิดนี้ทีไร เป็นอดใจไม่อยู่ทุกที่ ที่พอพูดเรื่องรสชาติของขนมชนิดนี้ว่าเป็นยังไง เราต่างก็สามารถอธิบายได้แน่นอนเพราะเคยรับประทานมาแล้ว แต่พอจะถามต่อว่าแล้วเราจะเลือกยังไงดี ถึงจะได้ขนมดอกบัวคุณภาพ คำถามนี้อาจยากมากที่จะทำให้ได้คำตอบแบบละเอียด ถูกต้องไหมคะ? แต่ปัญหาที่ไม่รู้ว่าจะเลือกยังไงดีจะหมดไป ถ้าคุณผู้อ่านได้อ่านเนื้อหาในบทความนี้ให้จบค่ะ เพราะว่าผู้เขียนได้รวบรวมเคล็ดลับที่ต้องรู้มาให้แล้ว โดยเคล็ดลับทั้งหมดที่คุณผู้อ่านกำลังจะได้รู้นั้น หากนำไปใช้รับรองว่าได้ขนมดอกบัวชั้นหนึ่งมาแน่นอน ที่นอกจากจะหอมจริงและอร่อยจริงแล้ว ยังเป็นขนมดอกบัวที่มีคุณภาพด้วยค่ะ น่าสนใจแล้วใช่ไหมคะ ส่วนจะมีเคล็ดลับอะไรที่ต้องรู้บ้างนั้น งั้นอ่านต่อกันเลยดีกว่า กับเนื้อหาดีๆ ดังต่อไปนี้ 1. ดูสีสัน ปกติเรามักได้เห็นขนมดอกบัวมีสีเขียว ซึ่งมักมาจากการเติมใบเตยลงไปในแป้ง ทำให้ขนมมีสีเขียวอ่อนสวยงาม และได้กลิ่นหอมของใบเตย ให้เราสังเกตสีของขนมชนิดนี้ค่ะ หากขนมดอกบัวมีสีสันที่ฉูดฉาดเกินไป หรือสีสันไม่สม่ำเสมอ อาจเป็นสัญญาณว่ามีการเติมสีสังเคราะห์ลงไป ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพ ขนมดอกบัวที่สีซีดจาง อาจบ่งบอกว่าขนมนั้นค้างสต็อกมานาน หรือไม่ได้ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ โดยการสังเกตสีสันของขนมดอกบัวเป็นวิธีง่ายๆ ในการประเมินคุณภาพเบื้องต้นค่ะ 2. สังเกตผิวสัมผัส ขนมดอกบัวที่เพิ่งทำใหม่ๆ จะมีผิวสัมผัสที่เรียบเนียน เนื่องจากแป้งยังมีความชุ่มชื้นอยู่ การใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดี เช่น แป้งข้าวเจ้าที่ละเอียด จะทำให้ขนมมีผิวสัมผัสที่เรียบเนียน การผสมและคนแป้งอย่างถูกวิธี จะทำให้ขนมมีเนื้อสัมผัสที่ละเอียดและเรียบเนียนค่ะ หากขนมมีผิวขรุขระอาจเป็นเพราะแป้งแห้งเกินไป หรือมีการผสมแป้งไม่เข้ากัน รอยแตกบนผิวขนมอาจเกิดจากการที่แป้งแห้งเกินไป หรือการทอดขนมด้วยไฟแรงเกินไป และขนมดอกบัวที่ดีควรมีความมันวาวเล็กน้อย แต่ไม่ควรมันเยิ้มเกินไป 3. ตรวจสอบความนุ่ม ขนมดอกบัวที่เพิ่งทำใหม่ๆ จะมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มฟู เนื่องจากแป้งยังมีความชุ่มชื้นอยู่ และยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง การใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดี เช่น แป้งข้าวเจ้าคุณภาพดี จะทำให้ขนมมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มละเอียด การผสมและคนแป้งอย่างถูกวิธี รวมถึงการควบคุมอุณหภูมิในการทอด จะส่งผลต่อความนุ่มของขนม หากขนมแข็งกระด้าง อาจเป็นเพราะแป้งแห้งเกินไป หรือทอดนานเกินไป หากขนมเหนียว อาจเป็นเพราะผสมแป้งมากเกินไป หรือคนแป้งไม่เข้ากัน หากขนมแห้งอาจเป็นเพราะทอดนานเกินไป หรือเก็บไว้นานเกินไป 4. ดมกลิ่น ขนมดอกบัวที่เพิ่งทำใหม่ๆ จะมีกลิ่นหอมหวานของกะทิและน้ำตาลอย่างชัดเจน เนื่องจากวัตถุดิบยังสดใหม่ การใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดี เช่น กะทิสด น้ำตาลมะพร้าว จะทำให้ขนมมีกลิ่นหอมหวานเป็นธรรมชาติ การใช้ใบเตยสดคั้นน้ำจะช่วยเพิ่มความหอมของขนมชนิดนี้ได้ หากขนมมีกลิ่นหืน แสดงว่าขนมนั้นค้างสต็อกมานาน หรือเก็บไว้ในที่อุณหภูมิสูง หากขนมมีกลิ่นเปรี้ยว แสดงว่าขนมนั้นบูดเสียแล้ว หากขนมมีกลิ่นแปลกปลอม เช่น กลิ่นไหม้ กลิ่นเค็ม อาจเกิดจากการปนเปื้อนของสิ่งสกปรก หรือการใช้ส่วนผสมที่ไม่ถูกสุขลักษณะค่ะ และตัวอย่างกลิ่นของขนมดอกบัวที่ดี คือ กลิ่นหอมหวานของกะทิ: เป็นกลิ่นหลักของขนมดอกบัว กลิ่นหอมของใบเตย: ช่วยเพิ่มความหอมสดชื่น กลิ่นของน้ำตาลมะพร้าว: ให้ความหอมหวานละมุน 5. สังเกตความฟู ปกติการผสมแป้งและส่วนผสมอื่นๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม รวมถึงการตีแป้งให้เกิดฟองอากาศ จะทำให้ขนมมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มฟู การทอดขนมด้วยไฟที่เหมาะสม และระยะเวลาที่พอดี จะทำให้ขนมฟูตัวได้อย่างสวยงาม การใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดี เช่น แป้งข้าวเจ้าคุณภาพดี จะทำให้ขนมมีโครงสร้างที่แข็งแรงและฟูได้ดี หากขนมยุบตัว อาจเป็นเพราะแป้งไม่แข็งพอ หรือทอดไฟอ่อนเกินไป หากขนมมีรูพรุนมากเกินไป อาจเป็นเพราะตีแป้งมากเกินไป หรือทอดไฟแรงเกินไป หากขนมไม่ฟู อาจเป็นเพราะแป้งแข็งเกินไป หรือผสมส่วนผสมไม่เข้ากัน โดยสรุปคือความฟูเป็นอีกหนึ่งลักษณะเด่นของขนมดอกบัวที่ดี การสังเกตความฟูของขนมจะช่วยให้คุณประเมินได้ว่าขนมนั้นทำมาจากแป้งที่มีคุณภาพ และผ่านกระบวนการผลิตที่ถูกต้องหรือไม่ค่ะ 6. ดูขอบขนม ขอบขนมดอกบัวเป็นส่วนสำคัญที่บ่งบอกถึงคุณภาพของขนม การสังเกตสีและรูปร่างของขอบขนม จะช่วยให้คุณประเมินได้ว่าขนมนั้นถูกทอดอย่างถูกวิธีหรือไม่ โดยขอบขนมที่สีน้ำตาลอ่อนสม่ำเสมอ แสดงว่าขนมถูกทอดด้วยไฟที่เหมาะสม และระยะเวลาที่พอดี ทำให้แป้งสุกทั่วถึงและมีสีที่น่ารับประทาน การใช้น้ำมันที่มีคุณภาพดี จะช่วยให้ขนมมีสีที่สวยงาม และไม่ไหม้เกรียมง่าย หากขอบขนมมีสีเข้มเกินไป อาจเป็นเพราะทอดนานเกินไป หรือไฟแรงเกินไป หากขอบขนมมีสีที่ไม่สม่ำเสมอ อาจเป็นเพราะไฟไม่เสมอกัน หรือน้ำมันร้อนไม่ทั่วถึง 7. สังเกตความหนา ขนมดอกบัวที่หนาเกินไป อาจทำให้ด้านในไม่สุก หรือมีเนื้อสัมผัสที่แข็ง ส่วนขนมที่บางเกินไป อาจทำให้กรอบเกินไปและขาดความนุ่ม หากขนมบางเกินไป อาจทำให้ขนมไหม้ได้ง่าย หรือมีเนื้อสัมผัสที่แข็ง หากขนมหนาเกินไป อาจทำให้ด้านในไม่สุก หรือมีเนื้อสัมผัสที่แข็ง หากขนมมีความหนาไม่สม่ำเสมอ อาจเป็นเพราะการตักแป้งไม่เท่ากัน หรือการทอดไม่สม่ำเสมอ โดยความหนาของขนมดอกบัวเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่บ่งบอกถึงคุณภาพของขนม การสังเกตความหนาของขนมจะช่วยให้คุณประเมินได้ว่าขนมนั้นทำมาจากแป้งในปริมาณที่เหมาะสมหรือไม่ค่ะ 8. ดูความเป็นเส้นใย แป้งข้าวเจ้าที่ใช้ทำขนมดอกบัวคุณภาพดี จะให้เส้นใยที่ละเอียดและเป็นธรรมชาติ เมื่อฉีกขนมออกจะเห็นเส้นใยคล้ายเส้นใยของดอกบัว การผสมแป้งและส่วนผสมอื่นๆ อย่างถูกวิธี จะทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่นุ่มและมีเส้นใย เส้นใยของขนมดอกบัวจะช่วยให้ขนมมีความนุ่มและมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ หากเส้นใยหยาบ แสดงว่าแป้งที่ใช้มีคุณภาพไม่ดี หรือผสมแป้งไม่เข้ากัน หากไม่มีเส้นใย แสดงว่าแป้งแข็งเกินไป หรือผสมน้ำมากเกินไป หากเส้นใยขาดตอน อาจเป็นเพราะแป้งแห้งเกินไป หรือทอดนานเกินไป ดังนั้นหากมีโอกาสให้ลองเปรียบเทียบเส้นใยของขนมดอกบัวที่คุณผู้อ่านที่ซื้อ กับขนมดอกบัวอื่นๆ เจ้าอื่นเพื่อหาความแตกต่าง และเลือกร้านที่ดีที่สุดค่ะ 9. เลือกซื้อจากร้านที่น่าเชื่อถือ การเลือกซื้อขนมดอกบัวจากร้านที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ขนมที่มีคุณภาพ สะอาด และอร่อยแล้ว การสังเกตลักษณะของขนมตามที่กล่าวมาแล้ว การเลือกซื้อจากร้านที่น่าเชื่อถือก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา โดยให้เลือกร้านที่สะอาด มีมาตรฐาน และมีชื่อเสียงด้านการทำขนมไทย เพราะว่าร้านที่ใส่ใจเรื่องความสะอาดจะดูแลเรื่องสุขอนามัยในการผลิตขนมดอกบัวอย่างดี ทำให้เรามั่นใจได้ว่าขนมที่ได้จะปลอดภัยจากเชื้อโรค เนื่องจากร้านที่มีมาตรฐานจะควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบและกระบวนการผลิตอย่างเข้มงวด ทำให้ได้ขนมที่มีรสชาติและคุณภาพคงที่ ร้านที่มีชื่อเสียงมักจะมีลูกค้าประจำและได้รับการรับรองจากผู้บริโภคว่ามีคุณภาพดี โดยอุปกรณ์ทำขนมดอกบัวและภาชนะใส่อาหารควรสะอาด คนขายควรแต่งกายสะอาดและมีสุขอนามัยที่ดี และเคล็ดลับอีกข้อที่แนะนำคือ เพื่อความสดใหม่ ควรซื้อขนมดอกบัวในปริมาณที่พอรับประทานค่ะ และจะเห็นได้ว่าเคล็ดลับข้างต้นเป็นแนวทางที่สำคัญ ทำให้เราได้ขนมดอกบัวที่อร่อย มีคุณภาพและสะอาดน่าซื้อ โดยผู้เขียนเองมีร้านประจำที่ตลาดค่ะ ที่มักซื้อเพียง 20 บาทต่อครั้งเป็นหลัก ร้านนี้ทำใหม่ตลอดค่ะ ขนมดอกบัวมีกลิ่นหอมใบเตย ไม่หวานจนเกินไป ไม่มันเยิ้มจนเกินไป ไม่เหม็นหืนน้ำมัน และนุ่มอร่อยค่ะ ดังนั้นหากเย็นนี้คุณผู้อ่านอยากทานขนมดอกบัว หรือไปเดินตามงานต่างๆ แล้วเห็นขนมดอกบัว ก็อย่าลืมนะเคล็ดลับดีๆ ในนี้ไปประยุกต์ใช้กันค่ะ ซึ่งผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากชอบบทความแบบนี้อีก ก็อย่าลืมกดติดตามหรือกดบุ๊กมาร์กหน้าโปรไฟล์ไว้นะคะ เพราะจะได้ไม่พลาดบทความใหม่ๆ ที่จะได้นำมาเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ค่ะ เครดิตภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปกและภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน ออกแบบภาพหน้าปกใน Canva เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล บทความอื่นที่น่าสนใจโดยผู้เขียน https://food.trueid.net/detail/ogb2JXdk5mLg https://food.trueid.net/detail/8QpLVo1DVNVQ https://food.trueid.net/detail/J0L2LAaroXoZ หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !