ส้มเป็นผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานที่มีแคลอรี่ต่ำ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีคุณประโยชน์กับร่างกายหลายประการส้มมีส่วนช่วยให้ผิวแข็งแรง ชุ่มชื่น และยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ อีกด้วย ส้มเป็นผลไม้ที่เกิดจากต้นส้ม ต้นส้มเป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ตระกูล Citrus ส้มเป็นที่นิยมเติบโตกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ส้มเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เนื่องมาจากรสชาติที่มีความอร่อยและหวานตามธรรมชาติ และความนิยมของมันจึงได้มีการนำส้มมาประยุกต์ใช้ตามความต้องการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น รูป รส กลิ่น สี ส่วนในประเทศไทยสามารถพบเห็นส้มได้ทั่วไป มีผู้บริโภคเยอะ แต่ละชนิดก็มีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป พันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุดในประเทศไทยคือ ส้มเกลี้ยง ส้มเขียวหวาน ส้มจุก ส้มเช้ง ส้มโอ ที่มา: pexels.com ส้มมาตรฐานหนึ่งลูกประกอบไปด้วย (โดยประมาณ) 45 - 60 แคลอรี่ ไขมัน 0.10 - 0-20 กรัม โพแทสเซียม 180 - 230 มิลลิกรัม คาร์โบไฮเดรต 11 - 15 กรัม น้ำตาล 9 - 12 กรัม โปรตีน 1 กรัม ส้มยังอุดมไปด้วย โคลีน (Choline) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin) โคลีนเป็นสารอาหารที่สำคัญในส้มเพราะสามารถช่วยในเรื่องของการนอนหลับ การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ บำรุงสมองเรื่องความจำและการเรียนรู้ โคลีนยังช่วยในการส่งแรงกระตุ้นเส้นประสาท ช่วยในการดูดซึมไขมันและลดการอักเสบเรื้อรัง ซีเซนทีนสามารถลดอาการอักเสบต่าง ๆ และสามารถเป็นประโยชน์ในเชิงบวกต่อหัวใจ ตับ ผิวหนัง และบำรุงสายตา ประเทศในเอเชียตะวันออก (โดยเฉพาะประเทศจีน) นิยมนำเปลือกส้มมาประกอบอาหาร เนื่องจากส้มมีสถานะเป็นกรดสามารถย่อยอาหารที่มีไขมันสูงได้ดี รวมไปถึงการดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำเปล่าทุกเช้า เพื่อล้างของเสียในลำไส้ได้ดี ที่มา: pexels.com ส้มเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุชั้นยอด โดยเฉพาะ วิตามินซี วิตามินบีและโพแทสเซียม ในฐานะที่ส้มเป็นแหล่งวีตามินซีต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด ส้มจึงเป็นผลไม่ที่มีความสามารถช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดมะเร็ง แต่อย่างไรก็ตาม การบริโภควิตามินซีที่เพียงพอนั้นเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก แต่ปริมาณที่ต้องการสำหรับรักษามะเร็งตามที่ต้องการนั้นมากกว่าที่มนุษย์สามารถบริโภคได้จริง วิตามินซีมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน คอลลาเจนบำรุงรักษาผิวหนัง ช่วนการรักษาบาดแผลและเสริมความแข็งแรงของผิว ที่มา: pexels.com ส้มเป็นแหล่งที่ดีของไฟเบอร์และโพแทสเซียม สารทั้งสองตัวนี้บำรุงรักษาสุขภาพของหัวใจ น้ำส้มหนึ่งแก้วสามารถให้ปริมาณโพแทสเซียมถึง 14% ตามความต้องการของมนุษย์ สำหรับผู้ป่วนโรคไตควรรับประทานส้มอย่างระมัดระวัง เพราะโพแทสเซียมในส้มอาจจส่งผลให้อาการไตกำเริบได้ ที่มา: pexels.com ส้มถูกบันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่ประเทศจีนช่วงปี 314 ก่อนคริสต์ศักราช ต้นตำหรับของส้มที่แท้จริงยังคงเป็นปริศนาอยู่ แต่ตามหลักฐานที่ค้นพบการปลูกส้มเพื่อใช้เป็นผลผลิตทางเศรษฐกิจเริ่มต้นที่เอเชียตะวันออก เมื่อหลายพันปีก่อน ส่วนส้มเขียนหวานในประเทศไทยนั้น มีแหล่งที่มาจากการเพาะเมล็ดและขยายพันธุ์ของส้มแก้ว ต้นกำเนิดมาจากชาวจีนนำเข้ามาปลูกที่ภาคกลางเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว และมีการขยายพันธุ์ส้มเขียวหวานไปปลูกในภาคอื่น ๆ ณ ปัจจุบัน ส้มเป็นผลไม้ที่เก็บเกี่ยวมากที่สุดในโลก ต้นส้มได้รับความนิยมในการปลูกในประเทศที่อยู่ในเขตร้อนเป็นส่วนใหญ่เพื่อรสชาติที่หวานอร่อย เนื้อผลไม้ของส้มสามารถรับประทานได้ทันที ไม่จำเป็นต้องปรุงสุก รวมไปถึงตัวน้ำของส้มด้วยเช่นกัน ในปี 2017 มีการปลูกส้มกว้า 73 ล้านตันทั่วโลก โดยประเทศบราซิลผลิตไปกว่า 24% ของผลผลิตทั้งโลก ตามด้วยจีนและอินเดียตามลำดับ ภาพปก: pexels.com แหล่งอ้างอิง: https://www.healthline.com/nutrition/foods/oranges https://www.medicalnewstoday.com/articles/272782