อย่างที่เขียนเอาไว้ในบทความ "พวกเรามาอยู่บ้านนอกกันเถอะ!!" เรื่องอาหารการกิน กับข้าวกับปลาในแบบวิถีชนบท ทั้งที่ค่าครองชีพในปัจจุบันนี้ค่อนข้างจะสูงเอาการอยู่ สวนทางกับรายได้ของครอบครัวนี้ที่ช่างแสนต่ำเตี้ยเรี่ยดินเสียเหลือเกิน แต่ทำไมนะ? พวกเขาถึงอยู่กันได้ โดยไม่มีหนี้สินให้คิดหนักสักแดงเดียว เหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติแท้ ๆ ที่หาได้ในท้องถิ่น ตามท้องไร่ท้องนา โดยไม่ต้องเสียสตางค์ หาใช่อย่างที่โฆษณากันเกลื่อนกลาดดาษดื่นในสื่อต่าง ๆ แต่อย่างใดไม่ ว่า "สด สะอาด จากธรรมชาติ" หรือไม่ก็ "แท้ร้อยเปอร์เซ็นต์"ก็อย่างที่เกริ่นไปบ้างแล้วถึงชื่อเรื่องบทความที่กล่าวไว้ในพารากราฟก่อน เรื่องทรัพยากรที่มีอยู่รอบ ๆ รั้วบ้านเรา (ตอนนี้ต้องเรียกว่าบ้านเราแล้วล่ะครับ เพราะถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตในเมืองอีก) แล้วถ้าหากอยากจะกินอะไรที่มันมีนอกเหนือจากรอบรั้วบ้านเราล่ะ จะต้องทำอย่างไร? ตลาดสิครับ คือคำตอบในบทความนี้ผมขออนุญาตเว้นวรรคและไม่ขอลงลึกถึงรายละเอียดเกี่ยวกับตลาดภาชีนะครับ สัญญาว่าบทความต่อ ๆ ไป ต้องเขียนถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน หากแต่วันนี้เราจะมาพูดถึงเมนูที่มีมูลค่าไม่เกิน 120 บาท ที่อยู่บนพื้นฐานอาหารในแบบ "บ้านนอกสไตล์"วันนี้วันคริสต์มาส 2021 (25 ธันวาคม 2564) พอผมตื่นขึ้นมา ก็นึกอยากกินตับไก่ (อ้าว.. .เกี่ยวกันไหมเนี่ย?) ก็เลยลองโหวตกันภายในครอบครัวว่าอยากได้ตับไก่มาประกอบเมนูอะไรดี ทุกคนลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า เอาเป็น "ผัดพริกอ่อนตับไก่" ก็แล้วกัน ตามมาด้วยเมนูโปรดของพ่อรุ่นพี่ ว่าแกอยากกิน "หม้อปลาร้า" คุณผู้อ่านหลายท่าน คงไม่เคยได้ยินชื่อเมนูนี้มาก่อนอย่างแน่นอน เอาเป็นว่าผมจะค่อย ๆ เล่าไปทีละสเตปก็แล้วกันนะครับ สุดท้ายก็เป็นอะไรที่ง่าย ๆและประหยัด อย่างไข่เจียว เพราะที่บ้านเรา ซื้อไข่ไก่ทีละแผง (30 ฟอง) เอาไว้ติดบ้านอยู่แล้วเมื่อได้รายการอาหารที่ถูกใจทุกคนแล้ว ผมกับรุ่นพี่ก็รีบบึ่งรถมอเตอร์ไซค์ไปตลาดทันที พร้อมเงิน 120 บาทในกำมือ ที่อัตราเร่ง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยหมายใจจะรีบปิดดีล รีบซื้อแล้วรีบกลับมาทำกับข้าวกินกันทันที เพราะยังมีงานหลักคือ ออกรับซื้อของเก่า ("ขยะ" ที่ไม่ได้มีค่าแค่ "ขยะ" หาอ่านรายละเอียดได้ในบทความก่อนหน้านี้ของผม) เนื่องด้วยใกล้เทศกาลปีใหม่ ทางโรงงานรีไซเคิลที่รับซื้อของเก่า ได้กดกระดิ่งเตือนล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อวานนี้ ว่าโรงงานจะปิดร้าน ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคมปีนี้ ไปจนถึงวันที่ 2 มกราคมปีหน้า ฉะนั้นต้องเร่งหาเงิน และกักตุน "ขยะ" ให้ได้มากที่สุดมาถึงเรื่องการจ่ายตลาดกันดีกว่า ผมกับรุ่นพี่ เดินจ่ายตลาดด้วยอารมณ์ของคนที่กลัวว่าจะตกเที่ยวบิน หาใช่คุณป้าบางท่าน ที่เดินทอดน่องพิจารณา เหมือนดั่งว่า ข้านี้มาเดินช็อปปิ้งบนเอ็มโพเรียมร้านแรกที่เราเดินผ่าน หลังจากจอดรถไว้บริเวณหน้าสถานีรถไฟชุมทางบ้านภาชี นั่นก็คือร้านขายผัก ที่ตลาดภาชีนี้ 50 เปอร์เซ็นต์ของร้านขายผัก จะเป็น "ผักชาวบ้าน" คือผักที่คุณลุง คุณป้า คุณตา คุณยาย ปลูกไว้ด้วยจุดประสงค์เพื่อเอาไว้กินภายในครัวเรือน ไม่ก็แจกจ่ายญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน เหลือจากนั้นจึงนำมาขายที่ตลาด ฉะนั้นเรื่องสารพิษจากยาฆ่าแมลงจึงหมดห่วงไปได้ แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่สวยสดงดงาม แต่รสชาตินั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผักที่ขึ้นห้างแต่อย่างใด แถมอาจอร่อยกว่าเสียด้วยซ้ำ ผมเคยนะ เอาบวบดิบที่ปอกเปลือกแล้วมากัดชิมดู ปรากฏว่ารสชาติคล้ายฝรั่งสดมาก หากแต่ไม่กรอบเท่าฝรั่งแค่นั้นเองพริกอ่อน 1 ถุง กลับมานับที่บ้านได้ 13 เม็ด ราคา 10 บาทหอมหัวใหญ่ 1 ตะกร้า มี 2 หัวใหญ่ ๆ ราคา 10 บาทบวบ กำละ 3 ลูก ราคา 10 บาท ซื้อ 2 กำมะเขือเปาะ 1 ตะกร้า ขี้เกียจนับเมื่อกลับถึงบ้าน ราคา 10 บาทรวมเบ็ดเสร็จที่ร้านขายผัก 50 บาท จากนั้นรีบเดินตรงไปยังร้านขายปลา "ป้าครับ ปลาดุกตัวย่อม ๆ ตัวนึง จะเอาไปทำหม้อปลาร้าครับ" บอกเพียงเท่านี้เป็นอันรู้กัน ป้าคนขายก็จัดแจงเลือกปลาดุกในกะละมังใบเขื่องมาตัวหนึ่ง นาทีนี้ผมเบือนหน้าหนี เพราะรู้ชะตากรรมของมัน แต่จะให้ทำเช่นไรได้ มันเป็นวัฏจักรและกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เสร็จสรรพจากป้าแกทำปลาดุกสำหรับหม้อปลาร้าแล้ว (ควักไส้แล้วสับเป็นท่อน ๆ ประมาณ 5 ชิ้น แต่ถ้าบอกว่าจะเอาไปผัดเผ็ด แกก็จะสับเป็นแว่นถี่ ๆ และถ้าบอกว่าจะเอาไปย่าง แกก็จะบั้งให้) สนนราคา ตัวละ 20 บาท เหลือเพียงอย่างเดียวที่เป็นต้นตอของท้องเรื่องในวันนี้ ก็คือ "ตับไก่" ผมหันไปบอกรุ่นพี่ให้เอาของที่ซื้อได้ไปที่รถ แล้วขี่มารับผมที่ร้านขายไก่เลย จะได้ไม่เสียเวลา หลังจากเราแยกย้าย เดินไปอีกไม่ไกลนัก ผมก็ได้ตับไก่มาครึ่งกิโลกรัม ราคา 40 บาท ปลาร้านั้นที่บ้านมีติดครัวอยู่แล้ว หาได้จำเป็นต้องซื้อไม่รวมค่ากับข้าวแล้วทั้งหมดเป็นเงินทั้งสิ้น 110 บาท เหลืออีกสิบบาท โดยไม่ต้องบอกให้เปลืองน้ำลาย รุ่นพี่แวะร้านน้ำเต้าหู้ทันที น้ำเต้าหู้ที่ร้านนี้ขายถุงละ 5 บาท ใส่เครื่องก็ 5 บาท ไม่ใส่ก็ 5 บาท เอ...แล้วมันแตกต่างกันอย่างไร? คำตอบก็คือ ขนาดของถุงครับ ถ้าไม่ใส่เครื่อง ถุงจะมีขนาดใหญ่กว่าใส่เครื่องนั่นเองเมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าแม่นั้นก่อเตาเสร็จเรียบร้อย พร้อมกับเจียวไข่ไว้รอแล้วจานหนึ่ง ด้วยความที่แกไม่ค่อยสบาย รุ่นพี่เลยไล่ให้แกขึ้นไปนั่งบนตั่ง คอยเตรียมคอยหั่นวัตถุดิบไว้ให้พร้อม จะเป็นการดีกว่า ส่วนผมก็แยกไปเด็ดใบมะกรูดมาสี่ห้าใบเพื่อนำมาต้มทำ "หม้อปลาร้า" เป็นการดับกลิ่นคาว คุณผู้อ่านที่เป็นคนในวัยเดียวหรือใกล้เคียงกัน และอาจจะมากกว่าผม ต้องรู้จักเมนู "ปลาร้าลอย" หรือบางคนก็เรียก "ปลาร้าปลาลอย" อย่างแน่นอนวิธีการทำนั้นไม่ยากครับ ตั้งน้ำให้พอร้อนไม่ถึงกับเดือดมาก ใส่ใบมะกรูดลงไป สักพัก ใส่น้ำปลาร้าพร้อม "ต่อน" (คือตัวปลาที่มากับน้ำปลาร้า) ลงไปพอประมาณ เมื่อน้ำเดือดได้ที่ นำปลาดุกที่ทางร้านทำมาให้เรียบร้อยแล้ว ใส่ลงไปในหม้อ ปิดฝา รอให้สุก เป็นอันใช้ได้แต่สิ่งที่มันเหนือความธรรมดากว่านั้นยังมีครับ ทำไม? ผมถึงต้องซื้อผักมาเยอะแยะ มันมีคำตอบครับ บวบ นำมาต้มให้สุก มะเขือเปาะ แตงกวาในตู้เย็น ผักทั้งหมดที่ว่ามานี้ นำมาแกล้มกับ "น้ำพริกปลาร้า" ครับ เมื่อหม้อปลาร้าสุก นำส่วนของเนื้อปลาดุกมาสัก 2 ชิ้น ใส่ลงในครก ซอยหอมแดง พริกป่น ผงชูรส ตำให้ละเอียดและคลุกเคล้าให้เข้ากัน หยอดน้ำปลาร้าในหม้อลงไปสัก 2 ทัพพี คลุกเคล้าดูอีกที ชิมรสตามใจชอบ ถ้าเผ็ดไม่พอ ก็เติมพริกป่น ยังไม่เค็มดี ก็เติมน้ำปลา (แต่ผมขอรณรงค์เรื่อง ลดหวาน ลดมัน ลดเค็ม นะครับ เอาแต่พอดี ๆ ก็พอ)ทีนี้มาถึงนักแสดงนำของวันนี้ "ผัดพริกอ่อนตับไก่" ตั้งน้ำมันในกระทะให้ร้อนแต่พอดี ใส่กระเทียมที่บุบแล้ว ประมาณ 6 - 7 กลีบลงไป ตามด้วยตับไก่ที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ผัดคลุกเคล้าให้ตับไก่พอสุก ใส่ซอสหอยนางรม ตามด้วยรสดี เหยาะน้ำปลานิดหน่อย ตามด้วยผงชูรส ถ้าชอบหวานก็เติมน้ำตาลสักนิด (ส่วนตัวผมจะไม่เติมน้ำตาล เพราะเดี๋ยวเรากำลังจะได้ความหวานจากหอมหัวใหญ่) เคล้าให้เข้ากัน ใส่หอมหัวใหญ่และพริกอ่อนลงไป (ถ้าจะให้ดีต้องมีมะเขือเทศสักหน่อย เสียดายที่หน้าแล้งแบบนี้ ราคาแพง) เติมน้ำสักนิดถ้าคิดว่ามันแห้งไป ผัดจนสุกได้ที่ ตักใส่จาน เท่านี้ล่ะคุณเอ๋ย ข้าวร้อน ๆ ที่หุงแบบเตาถ่าน ยิ่งถ้าเป็นข้าวหอมมะลิแล้วด้วยนะ ใครที่เคยได้รับประทานมาก่อนจะรู้ว่าทั้งนุ่ม ทั้งหอมมากแค่ไหนนี่แหละครับ อาหารในแบบ "บ้านนอกสไตล์" แต่คุณผู้อ่านบางท่าน อาจบอกว่า "เฮ้ย!! มันก็แค่ใช้เตาถ่านทำกับข้าวนี่หว่า ไม่เห็นมันจะบ้านนอกตรงไหน"ใช่ครับ มันอาจจะยังไม่ดูบ้านนอกเท่าที่ควรจะเป็น แต่นี่เป็นเพียงแค่บทความเกริ่นนำ ถึงข้าวปลาอาหารในแบบฉบับบ้านนอก ซึ่งในบทความต่อไป ผมจะพาคุณผู้อ่านไปพบกับ อาหารในแบบ "บ้านนอกสไตล์" ที่แท้ทรู โปรดติดตามตอนต่อไปครับ."พอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้" 😄 ภาพปกและภาพประกอบทั้งหมด โดย ผู้เขียนอัปเดตเมนูอาหารสุดแสนน่ากินอีกมากมายไปกับเรา โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !