ว่านหางจระเข้ เป็นต้นพืชที่มีเนื้ออิ่มอวบจัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกมีอายุหลายปี ลำต้นเป็นข้อปล้องสั้น มีใบเป็นใบเดี่ยว ใบหนาและยาว อวบน้ำ แผ่นใบมีสีเขียว ว่านหางจระเข้ปกติแล้วเป็นพืชที่ขึ้นในเขตร้อนและภายหลังได้แพร่ขยายพันธุ์ไปสู่เอเชียและยุโรป จนทุกวันนี้ว่านหางจระเข้ก็เป็นที่นิยมของทั่วโลก พูดถึง ว่านหางจระเข้ เรามักจะนึกถึงสรรพคุณในการรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลสด ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน ใช้ทาเพื่อป้องรอยแผลเป็น แต่ก็เป็นเพียงแค่บางส่วนของสรรพคุณทั้งหมดที่มี เพราะในว่านหางจระเข้นั้นยังมีอีกมากมายที่ใครหลายคนยังไม่รู้ ซึ่งให้ประโยชน์กับเราอย่างมากถ้าเราเลือกนำมาใช้ให้แตกต่างจากที่คุ้นเคย อย่างการใช้ทาแผลหรือลดอาการบวมแดงต่าง ๆ เช่นส่วนเนื้อวุ้นข้างในนอกจากใช้ภายนอกแล้ว ก็ยังสามารถนำมาทานได้และยังช่วยบำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี และในปัจจุบันที่กำลังได้รับความนิยมก็จะเป็น น้ำว่านหางจระเข้ ที่มักจะใช้ส่วนเนื้อไปผสมกับน้ำผลไม้รสชาติต่าง ๆ เพื่อให้ได้รสที่อร่อยและยังช่วยให้ทานได้ง่ายขึ้น สำหรับ น้ำว่านหางจระเข้ ส่วนมากจะไม่ค่อยมีใครทำทานกันซักเท่าไหร่ เพราะมีขั้นตอนและวิธีการทำที่ค่อนข้างจะยุ่งยากและต้องใช้เวลาในการทำ หรือแม้แต่บางครั้งที่ทำออกมาแล้วรสชาติไม่อร่อยและอาจจะทำให้มีรสขมของเนื้อวุ้น คนเลยเลือกที่จะซื้อทานแบบสำเร็จรูปมากกว่าเพราะง่ายและสะดวกสบาย ซึ่งก็เหมาะมากหากใครที่ไม่ชอบความยุ่งยาก แต่สำหรับใครที่เป็นเหมือนผู้เขียนคือไม่อยากซื้อ และรู้สึกเสียดายตังค์ที่จ่ายไปเนื่องจากมีราคาที่สูงจะซื้อบ่อยก็ไม่ได้ ทำให้เกิดความคิดที่อยากจะทำทานเองมากกว่าไปเสียตังค์ซื้อ เพราะวัตถุดิบเราก็สามารถหาเองได้ไม่ต้องไปซื้อจากที่ไหน แล้วยิ่งอยู่ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนอย้่างทุกวันนี้ เราก็ยิ่งจะต้องประหยัดให้มากขึ้นอะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้จ่ายนะคะทุกคน ดังนั้นแล้ว วันนี้ผู้เขียนเลยมีขั้นตอนและวิธีการทำ น้ำว่านหางจระเข้ ลอยแก้ว ที่หวานหอมชื่นใจมาฝากผู้อ่านทุกคนเผื่อว่าจะได้นำไปทำทานกันค่ะ ส่วนผสม วุ้นว่านหางจระเข้ 500 กรัม ใบเตย 20 กรัม น้ำตาลทราย 300 กรัม น้ำเปล่า 1 ลิตร เกลือ 1 ช้อนชา ขั้นตอนและวิธีการทำ ขั้นตอนที่ 1 เลือกตัดใบว่านหางจระเข้ที่เป็นใบแก่สุดซึ่ง และเลือกใบที่มีขนาดโตพอสมควรเพราะจะได้เนื้อวุ้นข้างในที่แน่นและเยอะ จากนั้นก็ไปตัดใบเตยโดยจะใช้ใบที่แก่ที่สุดเหมือนกัน เพราะจะช่วยให้ได้กลิ่นที่หอมยิ่งขึ้นและมีสีที่สวยเมื่อนำมาทำ ขั้นตอนที่ 2 นำว่านหางจระเข้มาปลอกเปลือกออกให้หมด จากนั้นนำไปล้างน้ำให้สะอาดจนไม่เหลือยางที่ติดกับเนื้อ เวลาที่จับจะไม่เหนียวถือว่าใช้ได้ ขั้นตอนที่ 3 เมื่อปลอกเสร็จแล้วให้นำมาหั่นเป็นท่อนลูกเต๋าขนาดพอดีคำ ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไปแล้วนำไปล้างน้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกติดมา ขั้นตอนที่ 4 ตั้งหมอใส่น้ำและเกลือตั้งไฟแรงจนน้ำในหมอเดือดดี จากนั้นให้นำวุ้นของว่านหางจระเข้ที่หั่นไว้ลงไปต้มในหม้อ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ขั้นตอนที่ 5 ตักวุ้นว่านหางจระเข้ที่ต้มครบตามเวลาแล้วมาพักในน้ำเย็นจัด เพื่อให้เนื้อยังคงความชุ่มชื่นและเนื้อยังคงสภาพเดิม ขั้นตอนที่ 6 ใส่น้ำขนาด 1 ลิตรที่เตรียมไว้ลงไปในหม้อเปิดไฟต้มจนน้ำเดือด จากนั้นใส่ใบเต้ยลงไปประมาณสามถึงสีใบ ขั้นตอนที่ 7 ใส่น้ำตาลที่เตรียมลงไปที่ละน้อยรอจนน้ำตาลละลายให้หมด ขั้นตอนที่ 8 นำน้ำใบเต้ยที่ปั่นเทผสมลงไป ในขั้นตอนนี้หากใครที่ต้องการสีสันที่ชัดเจน ก็สามารถเติมลงไปได้ตามต้องได้ จากนั้นให้นำเนื้อวุ้นของว่านหางใส่ลงไปต้มอีกประมาณ 5 นาที แล้วค่อยปิดไฟได้ ขั้นตอนที่ 9 ขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำ คือตักน้ำวุ้นว่านหางจระเข้ใส่ไว้ในถ้วยแล้วนำไปแช่ตู้เย็นไว้ประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อให้เนื้อวุ้นและน้ำเชื่อมเข้ากันได้ดีและมีรสชาติที่อร่อยมากขึ้น สำหรับใครที่ต้องการจะหาเครื่องดื่มเพื่อคลายร้อน แถมยังช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายผูเขียนก็ขอแนะนำ ว่างหางจระเข้ลอยแก้ว เลยค่ะถ้าได้ลองทำทานก็จะรูว่าพืชที่เราปลูกไว้เพื่อรักษาปลาดแผลนั้น สามารถนำมารับประทานได้เพราะ น้ำว่านหางจระเข้ นั้นยัง สามารถช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยชะลอความแก่ชรา และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ รวมไปถึงกรดอะมิโนอีกหลายชนิดที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุทองแดง ธาตุแมงกานีส ธาตุซีลีเนียม ธาตุโครเมียม วิตามินเอ วิตามินซี วิตามิอี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 วิตามินบี 9 โคลีน และยังเป็นพืชเพียงไม่กี่ชนิดที่มีวิตามินบี 12 ด้วย ประโยชน์มากมายขนาดนี้อย่าลืมทำไว้ทานที่บ้านกันนะคะ ภาพถ่ายโดย:ผู้เขียน