9 ทริคสังเกตผักผลไม้ ที่เริ่มสูญเสียคุณค่าทางอาหาร ดูยังไงดี มารู้กันเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ผักผลไม้เป็นของสดที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน และมักเชื่อว่ายิ่งสดยิ่งดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความสดนั้นมีอายุสั้นและเปลี่ยนแปลงได้เร็วตามสภาพแวดล้อม ตั้งแต่ช่วงขนส่ง การจัดเก็บ ไปจนถึงวิธีที่เราวางไว้ในครัวค่ะ ซึ่งทุกขั้นตอนล้วนส่งผลต่อคุณค่าทางโภชนาการที่ซ่อนอยู่ภายใน เพราะหลายครั้งผักผลไม้ที่ดูปกติภายนอกกลับสูญเสียวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระไปมากแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัวนะคะ ดังนั้นการเรียนรู้วิธีสังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่เพียงช่วยให้เราเลือกของสดได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยลดการสูญเสียอาหารโดยไม่จำเป็นอีกด้วยค่ะ ซึ่งในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจมากขึ้นว่า การสังเกตผักผลไม้ไม่ใช่เพียงเรื่องของสายตา แต่คือการมองเห็นคุณค่าของอาหารตั้งแต่ก่อนถึงจานอาหารของเรา โดยคุณผู้อ่านจะได้เรียนรู้แนวคิดของการกินอย่างรู้เท่าทัน ที่เชื่อมโยงทั้งเรื่องสุขาภิบาลอาหารและโภชนาการเข้าด้วยกัน เพื่อให้เรานำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ทั้งในแง่ของการเลือกซื้อ การเก็บรักษา และการบริโภคอย่างมีสติ เพื่อให้ทุกมื้ออาหารเป็นทั้งประโยชน์และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันค่ะ และต่อไปนี้คือ 9 ทริค สังเกตผักผลไม้ ที่เริ่มสูญเสียคุณค่าทางอาหารนะคะ 1. สีเริ่มซีดลงกว่าปกติ สีของผักผลไม้เป็นสัญญาณสำคัญที่บอกถึงคุณภาพและความสมบูรณ์ของสารอาหารภายในค่ะ โดยเฉพาะกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระในผักสีส้ม เหลือง หรือในมะเขือเทศ รวมถึงในผักใบเขียวด้วย ปกติเมื่อผักผลไม้เริ่มมีสีซีด หม่น หรือไม่สดใสเหมือนตอนซื้อใหม่ๆ นั่นคือสัญญาณว่ากระบวนการออกซิเดชันได้เริ่มทำงานแล้ว สารอาหารที่ไวต่อแสง ความร้อน และออกซิเจนจะค่อยๆ สลาย จึงทำให้คุณค่าทางอาหารลดลงโดยไม่จำเป็นต้องเน่าเสียก่อนด้วยซ้ำค่ะ โดยในสถานการณ์จริงนั้น การสังเกตสีของผักผลไม้จึงเป็นวิธีง่ายที่สุดที่ช่วยให้เราเลือกของสดได้อย่างแม่นยำ หากสีของผักใบเขียวเริ่มอมเหลือง หรือผลไม้สีแดงสดอย่างมะเขือเทศเริ่มจางลงจนออกชมพูเรื่อๆ ให้เข้าใจได้ทันทีว่าสารอาหารในเนื้อผลลดลงมากแล้ว ผักผลไม้ลักษณะนี้แม้ยังสามารถรับประทานได้ แต่คุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกายย่อมไม่เท่าของสดใหม่ ดังนั้นจึงควรเลือกซื้อที่สดใหม่ จัดเก็บในที่เย็น หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง และบริโภคภายในระยะเวลาไม่นาน เพื่อคงไว้ซึ่งคุณค่าทางโภชนาการสูงสุดค่ะ 2. กลิ่นหอมตามธรรมชาติลดลง กลิ่นหอมของผักผลไม้ไม่ได้เป็นเพียงเอกลักษณ์ของแต่ละชนิดเท่านั้นนะคะ แต่ยังสะท้อนถึงความสดและคุณค่าทางโภชนาการในระดับลึกอีกด้วย กลิ่นหอมที่เรารับรู้ได้เกิดจากน้ำมันหอมระเหยและกรดอินทรีย์ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ไวต่อแสง ความร้อน และออกซิเจนค่ะ เมื่อเวลาผ่านไปหรือจัดเก็บไม่ถูกวิธี สารเหล่านี้จะระเหยหรือสลายตัวจนกลิ่นหอมจางลง ในบางครั้งกลายเป็นกลิ่นหมักหรือกลิ่นเปรี้ยวแทน และนั่นคือสัญญาณว่าความสดใหม่ของผักผลไม้เริ่มลดลง และสารอาหารสำคัญบางส่วนก็เริ่มถูกทำลายตามไปด้วยนะคะ การสังเกตกลิ่นจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่ช่วยบอกความเปลี่ยนแปลงของคุณภาพได้อย่างชัดเจน เช่น มะม่วงที่มีกลิ่นหอมหวานตามธรรมชาติจะมีกลิ่นเบาบางลงเมื่อผ่านการเก็บไว้นาน หรือส้มที่เคยมีกลิ่นสดชื่นอาจมีกลิ่นหมักเล็กน้อยก่อนเริ่มเน่าเสีย การสูญเสียกลิ่นเหล่านี้ไม่เพียงบ่งชี้ถึงรสชาติที่เปลี่ยนไปค่ะ แต่ยังแปลว่ามีการสลายตัวของสารระเหยที่มีตามธรรมชาติด้วย ดังนั้นหากซื้อผักและผลไม้สดใหม่มาแล้ว ควรมีการเก็บรักษาในอุณหภูมิเย็นคงที่ หลีกเลี่ยงการตากลมหรือโดนแสงแดดโดยตรง เพราะจะช่วยรักษากลิ่นหอมธรรมชาติและคุณค่าทางอาหารของผักผลไม้ไว้ได้ยาวนานขึ้นค่ะ 3. เนื้อสัมผัสนิ่มหรือเหี่ยวย่น เนื้อสัมผัสของผักผลไม้เป็นตัวชี้วัดความสดที่สำคัญไม่แพ้สีหรือกลิ่นค่ะ เพราะโครงสร้างของเนื้อเยื่อพืชเต็มไปด้วยน้ำและสารอาหาร ที่ช่วยให้ผิวเต่งตึงและกรอบแน่น เมื่อเวลาผ่านไปความชื้นจะระเหยออกจากเซลล์ ทำให้ผักผลไม้สูญเสียน้ำและแรงดันภายในเซลล์ลดลงจนเนื้อเริ่มนิ่ม เหี่ยว หรือย่น การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงทำให้รูปลักษณ์ไม่น่ากิน แต่ยังหมายถึงการสูญเสียวิตามินที่ไวต่ออุณหภูมิและออกซิเจน รวมทั้งเอนไซม์ต่างๆ ที่เริ่มสลายตัว จึงทำให้คุณค่าทางอาหารลดลงอย่างเห็นได้ชัดค่ะ โดยผักที่เริ่มเหี่ยว เช่น คะน้า ผักกาด หรือผักชี มักมีเนื้อสัมผัสย่นและไม่กรอบเหมือนตอนซื้อใหม่ๆ ส่วนผลไม้ที่เริ่มนิ่มเกินไป เช่น มะละกอ กล้วย หรือมะเขือเทศ มักเกิดจากกระบวนการย่อยสลายภายในที่เริ่มทำงาน ที่จะทำให้รสชาติเปลี่ยนและเนื้อแน่นน้อยลง แม้ยังพอรับประทานได้ แต่สารอาหารย่อมลดลงมากกว่าของสดใหม่ ซึ่งการเก็บรักษาในที่เย็นพอเหมาะและหลีกเลี่ยงการซ้อนทับกัน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำและรักษาเนื้อสัมผัสไว้ได้ยาวนานขึ้น เพื่อให้เรายังได้รับคุณค่าทางอาหารครบถ้วนค่ะ 4. มีจุดสีน้ำตาลหรือดำบนผิว จุดสีน้ำตาลหรือดำที่ปรากฏบนผิวผักผลไม้ เป็นหนึ่งในสัญญาณแรกๆ ที่บ่งบอกถึงการเริ่มเสื่อมสภาพของเซลล์ภายในค่ะ ที่โดยส่วนใหญ่เกิดจากกระบวนการออกซิเดชัน หรือการทำปฏิกิริยาระหว่างเอนไซม์กับออกซิเจนในอากาศ จึงทำให้เนื้อผลไม้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อถูกตัดหรือช้ำ โดยจุดเหล่านี้ยังอาจเกิดจากการถูกกระแทกหรือการจัดเก็บในอุณหภูมิไม่เหมาะสม ซึ่งทำให้ผนังเซลล์แตกและสารอาหารบางชนิดถูกทำลายเร็วขึ้น ดังนั้นเมื่อผิวเริ่มมีจุดเข้มจึงถือว่าอาหารเริ่มสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการไปบางส่วนแล้วค่ะ ซึ่งการสังเกตผิวของผักผลไม้จึงมีความสำคัญมาก เพราะแม้ภายนอกจะดูเหมือนแค่ช้ำเล็กน้อย แต่ภายในอาจมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อที่เรามองไม่เห็น เช่น แอปเปิล มะเขือเทศ หรือกล้วยที่มีจุดสีน้ำตาลเข้ม มักสูญเสียความกรอบแน่นและรสชาติลดลง ผักอย่างแตงกวาหรือมะเขือยาวที่มีรอยดำอาจเริ่มเน่าในไม่นาน การเลือกผลที่ผิวเรียบเนียน สีสม่ำเสมอ และไม่มีรอยจ้ำจึงเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้เราได้ของสดใหม่เต็มคุณค่า และควรรีบนำผลไม้ที่เริ่มมีจุดมาปรุงหรือนำไปแช่เย็นเพื่อชะลอการเสื่อมของสารอาหารค่ะ 5. มีรอยช้ำหรือรอยบุบ รอยช้ำหรือรอยบุบบนผักผลไม้เป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ เพราะแม้จะดูเป็นแค่ความเสียหายภายนอกเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วเป็นจุดที่เซลล์พืชภายในถูกทำลาย จึงทำให้กระบวนการสลายตัวเริ่มต้นขึ้นทันที เมื่อผิวถูกกระแทกหรือกดทับ เอนไซม์ภายในเซลล์จะสัมผัสกับออกซิเจน เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ทำให้บริเวณนั้นเปลี่ยนสีเข้มและเนื้อเริ่มนิ่มลง ซึ่งส่งผลให้สารอาหารที่ไวต่ออากาศและความร้อน ถูกทำลายได้ง่ายกว่าบริเวณอื่นๆ จึงทำให้ผักผลไม้ที่มีรอยช้ำมักสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการเร็วกว่าของที่ยังสมบูรณ์ค่ะ ในทางสุขาภิบาลอาหารรอยช้ำยังถือเป็นจุดเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ เพราะเป็นบริเวณที่ผิวป้องกันตามธรรมชาติถูกทำลาย ทำให้จุลินทรีย์สามารถเจริญเติบโตได้ง่าย โดยเฉพาะหากจัดเก็บในสภาพอากาศร้อนหรือชื้น ผลไม้ที่มีรอยบุบอย่างกล้วย แอปเปิล หรือมะม่วงจะเริ่มมีกลิ่นหมักเร็วขึ้น ส่วนผักอย่างมะเขือหรือแตงกวาอาจเน่าได้ภายในไม่กี่วัน ดังนั้นการเลือกซื้อควรหลีกเลี่ยงผักผลไม้ที่มีรอยกระแทกชัด และหากจำเป็นต้องใช้ ควรตัดส่วนที่ช้ำออกก่อนปรุงทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยและยังคงได้รับสารอาหารที่เหลืออยู่อย่างเหมาะสมค่ะ 6. มีของเหลวซึมออกมา คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า ของเหลวที่ซึมออกมาจากผักผลไม้เป็นสัญญาณชัดเจนว่ากระบวนการสลายตัวภายในได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยทั่วไปเนื้อเยื่อของผักผลไม้จะประกอบด้วยน้ำและเซลล์ที่มีผนังแข็งแรงช่วยเก็บกักความชื้นไว้ภายใน เมื่อเซลล์เสื่อมสภาพจากการเก็บไว้นาน ถูกกระแทก หรือสัมผัสกับอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม ผนังเซลล์จะเริ่มแตก ทำให้น้ำและสารอาหารละลายออกมาสู่ผิวด้านนอก ของเหลวเหล่านี้มักมีทั้งน้ำตาล กรดอินทรีย์ และวิตามินที่ละลายน้ำได้ ซึ่งเป็นสาเหตุให้สารอาหารสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นตัวดึงดูดจุลินทรีย์ให้เข้ามาเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น จึงมักตามมาด้วยกลิ่นหมักหรือเมือกบนผิวในเวลาไม่นาน ผักผลไม้ที่เริ่มมีของเหลวซึม เช่น แตงกวา มะเขือเทศ หรือผลไม้เนื้อนิ่มอย่างมะละกอและกล้วย จะเสื่อมคุณภาพเร็วมาก หากสัมผัสแล้วรู้สึกเหนียวหรือเห็นหยดน้ำไหลออกจากผิว แปลว่าโครงสร้างเซลล์ได้ถูกทำลายไปแล้วและสารอาหารภายในลดลงมาก การบริโภคผักผลไม้ลักษณะนี้แม้ไม่ถึงขั้นอันตรายทันที แต่จะได้คุณค่าทางโภชนาการน้อยและเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ ดังนั้นควรคัดแยกออก รีบปรุงภายในวันนั้น หรือเก็บในตู้เย็นอุณหภูมิต่ำเพื่อชะลอการเสื่อมสภาพ ถือเป็นการรักษาความสดและความปลอดภัยของอาหารค่ะ 7. ผิวเริ่มเหนียวหรือมีเมือก ผิวที่เริ่มเหนียวหรือมีเมือกเกาะบนผักผลไม้เป็นสัญญาณสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางจุลชีววิทยาค่ะ ซึ่งมักเกิดขึ้นจากการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่บนผิว เมื่อผักผลไม้ได้รับความชื้นสูงหรือเก็บในอุณหภูมิที่อุ่นเกินไป จุลินทรีย์เหล่านี้จะเริ่มย่อยสลายเนื้อเยื่อ ทำให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรตเปลี่ยนสภาพกลายเป็นเมือกเหนียวบนผิว ผลที่ตามมาคือการสูญเสียวิตามิน แร่ธาตุ และเอนไซม์สำคัญหลายชนิด โดยเฉพาะสารอาหารที่ไวต่อการย่อยสลายของจุลินทรีย์และออกซิเจน การมีเมือกจึงไม่เพียงทำให้เนื้อสัมผัสไม่น่ารับประทาน แต่ยังบ่งชี้ว่าคุณค่าทางอาหารลดลงและความปลอดภัยก็เริ่มน่ากังวลด้วยค่ะ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือผักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง คะน้า หรือผักกาด ที่เมื่อเก็บไว้นานจะเริ่มมีผิวลื่นและเหนียวเมื่อสัมผัส ส่วนแตงกวาหรือมะเขือเทศอาจมีฟิล์มบางๆ คล้ายวุ้นเคลือบบนผิว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเริ่มเกิดการหมักและย่อยสลาย หากปล่อยไว้ต่อจะมีกลิ่นเปรี้ยวและเน่าเสียอย่างรวดเร็ว การป้องกันทำได้โดยเก็บในภาชนะปิดที่สะอาด แห้ง และมีการระบายอากาศที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการล้างก่อนเก็บ เพราะความชื้นจะเร่งให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตได้เร็วขึ้น ผักผลไม้ที่เริ่มมีเมือกจึงควรคัดออกหรือปรุงทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนและรักษาความปลอดภัยในการบริโภคค่ะ 8. มีกลิ่นหมักหรือเปรี้ยวผิดธรรมชาติ กลิ่นหมักหรือกลิ่นเปรี้ยวผิดธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับผักผลไม้ เป็นสัญญาณชัดเจนว่ามีการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการทางชีวเคมีภายใน และเริ่มมีการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ค่ะ โดยกลิ่นเหล่านี้มักมาจากจุลินทรีย์ที่เปลี่ยนน้ำตาลธรรมชาติในผลไม้ให้กลายเป็นกรดอินทรีย์ ซึ่งเป็นที่มาของกลิ่นเปรี้ยวและหมัก การเกิดกลิ่นแบบนี้ไม่เพียงแสดงถึงความเสื่อมของรสชาตินะคะ แต่ยังบ่งชี้ว่าสารอาหารที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลง และเอนไซม์ธรรมชาติในผลไม้ได้สลายตัวไปแล้วจำนวนมาก โดยเฉพาะในสภาพอุณหภูมิห้องที่อุ่นและชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตได้เร็วขึ้นมากค่ะ ผักผลไม้ที่มีกลิ่นหมัก เช่น มะม่วงที่มีกลิ่นเปรี้ยวคล้ายเหล้า หรือกล้วยที่มีกลิ่นหมักคล้ายไวน์ ล้วนเกิดจากกระบวนการย่อยสลายตามธรรมชาติที่ล้ำเส้นความสดใหม่ไปแล้ว ส่วนผักอย่างผักกาดหรือแตงกวาอาจส่งกลิ่นเปรี้ยวหมักคล้ายการดอง ทั้งที่ยังไม่ได้ผ่านการถนอมอาหาร ซึ่งแปลว่าเริ่มเสื่อมสภาพและมีการเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์บนผิว การสังเกตกลิ่นจึงเป็นวิธีตรวจสอบที่ง่ายและแม่นยำที่สุด ถ้ากลิ่นไม่เหมือนตอนที่ซื้อมา ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคทันที เพราะถึงแม้ผักผลไม้เหล่านั้นยังดูไม่เน่า แต่สารอาหารย่อมลดลงมากและอาจมีจุลินทรีย์ก่อโรคปะปนอยู่แล้วค่ะ 9. ใบหรือขั้วหลุดง่ายกว่าปกติ การที่ใบหรือขั้วของผักผลไม้ที่หลุดง่ายกว่าปกติ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเซลล์ยึดเหนี่ยวภายในเริ่มเสื่อมสภาพ ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับความสดและคุณค่าทางอาหารในเนื้อเยื่อพืชค่ะ ที่โดยปกติแล้วขั้วและใบจะยึดติดแน่นด้วยโครงสร้างที่แข็งแรง แต่เมื่อเวลาผ่านไปความชื้นและสารอาหารในเซลล์ลดลง เอนไซม์ธรรมชาติภายในจะย่อยโครงสร้างที่ยึดติดแน่นให้หลวมตัว จึงทำให้ขั้วหรือใบหลุดออกง่ายโดยไม่ต้องออกแรงมาก ซึ่งผักผลไม้ลักษณะนี้แม้ยังดูดีภายนอก แต่ภายในมักมีการสูญเสียน้ำ วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระไปแล้วในระดับหนึ่งค่ะ ซึ่งหมายความว่าคุณค่าทางโภชนาการได้เริ่มลดลงตั้งแต่ก่อนเห็นอาการเหี่ยวหรือเปลี่ยนสีค่ะ ตัวอย่างที่พบได้บ่อย เช่น มะเขือเทศที่ขั้วหลุดเองจากผลโดยไม่ต้องดึง หรือส้มที่ขั้วแยกออกจากเปลือกได้ง่ายเกินไป มักเป็นผลจากการเก็บไว้นานหรือเก็บในที่อุณหภูมิสูงเกินไป ส่วนผักใบเขียวอย่างผักชีหรือผักกาดที่ใบหลุดร่วงเมื่อจับเพียงเบาๆ ก็สะท้อนว่ามีการสูญเสียน้ำในระดับเซลล์แล้ว การสังเกตสิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราเลือกของสดได้อย่างแม่นยำขึ้น ควรเลือกผักผลไม้ที่ขั้วแน่น ใบติดกับก้านดี และไม่มีรอยแห้งหรือนิ่มตรงขั้ว ส่วนการจัดเก็บในที่เย็นและมีความชื้นเหมาะสม จะช่วยชะลอการเสื่อมและรักษาคุณค่าทางอาหารไว้ได้ยาวนานขึ้นค่ะ ที่โดยสรุปแล้วผักผลไม้ที่เรารับประทานในแต่ละวัน ไม่ได้เพียงให้รสชาติสดชื่นเท่านั้นนะคะ แต่ยังเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นร่างกาย การสังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของสี กลิ่น หรือเนื้อสัมผัสจึงไม่ใช่เรื่องจุกจิก แต่คือการฝึกให้เราเข้าใจวงจรชีวิตของอาหารสด และรู้เท่าทันการเสื่อมสลายของสารอาหารค่ะ ซึ่งการเลือกผักผลไม้ที่ยังคงความสดใหม่ ไม่เพียงทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการบริโภคอย่างมีสติ ที่ช่วยลดของเสียจากการซื้อเกินจำเป็นหรือทิ้งก่อนถึงเวลาค่ะ และในชีวิตประจำวันการดูแลคุณภาพของผักผลไม้เริ่มต้นได้จากการเลือกซื้ออย่างรอบคอบ เก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม และใช้ให้หมดภายในช่วงเวลาที่สั้นที่สุด การเก็บในตู้เย็นก็ไม่ควรแน่นจนเกินไป เพราะอากาศจะหมุนเวียนได้ไม่ทั่วถึง การแยกเก็บตามประเภท เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สุก และผลไม้ที่คายแก๊สเอทิลีน จะช่วยยืดอายุและชะลอการสูญเสียคุณค่าทางอาหารได้ดี นอกจากนี้การหมั่นตรวจดูของสดที่มีอยู่ในครัวเป็นประจำ ยังช่วยให้เรารู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและวางแผนการบริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ ซึ่งในภาพรวมการสังเกตและจัดการผักผลไม้อย่างเข้าใจ คือ พื้นฐานของสุขาภิบาลอาหารในระดับครัวเรือน ที่ช่วยให้เราได้อาหารที่ปลอดภัย สดใหม่ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด เมื่อเราปรับมุมมองจากการเก็บของให้ได้นาน มาเป็นการรักษาคุณค่าให้นานที่สุด เราจะเริ่มเห็นว่าการดูแลอาหารสดไม่ใช่ภาระ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขอนามัยชีวิตอย่างยั่งยืน ที่เชื่อมโยงตั้งแต่พฤติกรรมการซื้อ การเก็บ ไปจนถึงการบริโภคอย่างรู้คุณค่าค่ะ สำหรับผู้เขียนนั้นเคยได้เห็นการเสื่อมสภาพของผักและผลไม้ในหลายลักษณะเหมือนกันค่ะ โดยที่พบบ่อยๆ คือ การเหี่ยวและเริ่มเหนียวของผักและผลไม้ ส่วนการที่ขั้วหลุดของผลไม้นั้น แบบนี้ก็เจอมาเรื่อยๆ ค่ะ และจากที่ผู้เขียนได้รู้มาว่าการที่เราพบว่าผักและผลไม้เริ่มเสียคุณค่าทางอาหารมีลักษณะยังไงบ้างนั้น ในตอนหลังมาทำให้ผู้เขียนมีการวางแผนในการเลือกซื้อ การจัดเก็บและการนำมาปรุงอาหารอย่างเป็นแบบแผนมากด้วยขึ้นค่ะ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการเกิดขยะอาหารในชีวิตประจำวันแล้ว แนวทางข้างต้นยังช่วยลดการกินผักและผลไม้ที่เริ่มสูญเสียคุณค่าทางอาหารโดยไม่รู้ตัวได้อีกด้วยนะคะ ยังไงนั้นก็อย่าลืมนำข้อมูลในบทความนี้ไปใช้สังเกตค่ะ และด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากคุณผู้อ่านชื่นชอบเนื้อหาแนวนี้ อย่าลืมกดติดตามหรือบันทึกโปรไฟล์ไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดข้อมูลใหม่ๆ ในบทความถัดไป หากสนใจอ่านบทความทั้งหมดของผู้เขียน ก็สามารถกดเข้าไปดูได้จากโปรไฟล์เช่นกันค่ะ #วิธีเลือกผลไม้ #วิธีเลือกผัก #ความปลอดภัยของอาหาร #FoodSafety เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก ถ่ายภาพโดย KamranAydinov จาก FREEPIK และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา ถ่ายภาพโดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 9 ทริคเลือกองุ่นคริมสัน แบบไหนดี ผลสดใหม่ รสชาติหวานอร่อย 8 วิธีเก็บพริกขี้หนู ให้อยู่ได้นาน ลดเน่าเสียง่าย ทำยังไงดี 9 จุดสังเกตผักผลไม้ มีสารเคมีตกค้าง ไม่ปลอดสารพิษ ที่พบบ่อย หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !