จริง ๆ แล้วดิฉันและเพื่อนสาวนัดไปออกกำลังกายกันในยามเย็น แต่ดิฉันดันป่วย เพื่อนของดิฉันจึงต้องเปลี่ยนแผน รับดิฉันพาไปหาหยูกหายาแทน เมื่อได้รับยาตามที่ต้องการแล้ว ดิฉันจึงมองหน้าเพื่อนผู้เมตตา พร้อมพูดขึ้นว่า "หิวข้าวมากเลยแก ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า" เพื่อนของดิฉันหัวเราะพร้อมบอกความลับว่า "หิวมาก ๆ เลยแก... ไม่ไปออกกำลังกายแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า" เราทั้งสองจึงตกลงกันว่าจะไปทานอาหารร้านไหนดี เมื่อได้ที่หมายแล้วเราทั้งสองคนก็ออกเดินทาง แต่ทว่า... "บ้านใครสวยจัง" เพื่อนดิฉันกล่าวขึ้น "ร้านหน้าไม้ไงแก" ดิฉันกล่าวพร้อมมองไปยังบ้านไม้หลังงาม ในขณะนั้นภาพในความทรงจำก็กลับคืนมา "เราไม่เคยไปนะ แต่จำได้ว่าตอนมัธยมอาจารย์บอกว่าร้านนี้ดีมาก ดีทั้งบรรยากาศและอาหาร" ดิฉันพูดด้วยน้ำเสียงป่วย ๆ จวนจะหมดแรง "หรือเราจะกินร้านนี้" เพื่อนของดิฉันชะลอรถทันที พร้อมมองหาที่จอดรถ "เอาดิ ดีเหมือนกัน" ภาพของร้านหน้าไม้ในอดีต ที่มีแสงไฟสวยงามยามค่ำคืน สว่างขึ้นในความทรงจำ ในตอนนั้นดิฉันไม่เคยได้เข้าร้านอาหารสวย ๆ บรรยากาศดี ๆ แบบนี้เลย เพราะนอกจากจะไม่มีใครพาไป ยังคิดว่าราคาอาหารคงจะแพงมาก เพราะร้านสวยเหลือเกิน แต่ในวันนี้ดิฉันทำงานหาเลี้ยงตนเองได้แล้ว ลองไปทานอาหารร้านสวย ๆ ดี ๆ ที่ตัวเองชื่นชอบสักครั้งก็คงจะดีต่อใจไม่น้อยเลยทีเดียว ร้านหน้าไม้ เป็นร้านอาหารที่ดัดแปลงชั้นล่างของบ้านพักอาศัย ซึ่งตัวบ้านนั้นสวยงามตามแบบบ้านในยุคสมัย รัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นยุคที่เราได้รับรูปแบบสถาปัตยกรรมจากชาติตะวันตกเข้ามาเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากเป็นยุคที่เศรษฐกิจดี บ้านเมืองสงบ ผู้คนจึงได้ลงทุนกับการสร้างบ้านปลูกเรือนให้มีความงดงาม มีรายละเอียดทั้งในโครงสร้าง และการประดับตกแต่งอย่างเต้มความสามารถ โดยมีการปรับแบบบ้านให้เขากับสภาพอากาศของประเทศไทย เห็นแค่ภายนอกร้านดิฉันก็รู้สึกสงบเสงี่ยมเจียมตัวขึ้นมาทันที รู้สึกเหมือนเป็นบ่าวเสียอย่างนั้น "แต่ร้านเขาเปิดรึยังแก" ดิฉันและเพื่อนชะเง้อมองเข้าไปในรั้ว พลันสายตาของเราก็พบกับคุณป้าผู้เป็นมารดาของคุณน้าเจ้าของร้าน เราสองคนจึงได้ยกมือไหว้คุณป้าเจ้าของร้าน ที่ยิ้มต้อนรับพวกเราสองคนด้วยความอ่อนโยน พร้อมสอบถามเวลาเปิดปิดร้าน เนื่องจากเป็นเรามาถึงร้านในเวลาประมาณ 17:00 น. เท่านั้น ร้านอาจจะยังไม่เปิดก็ได้ (แต่ถึงยังไม่เปิดเราก็จะนั่งรอค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า) เมื่อคุณป้าบอกกับพวกเราว่าร้านเปิดแล้ว เราสองคนก็ดีอกดีใจเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กมัธยมอีกครั้ง ร้านหน้าไม้ เป็นร้านอาหารสวยหรู เก่าแก่ เปิดทำการมาตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2534 นับเป็นร้านอาหารไทยที่อยู่ยืนยง คงความสวยงาม และรสชาติของอาหารที่เลอเลิศมาตราบทุกวันนี้จริง ๆ นะคะ ร้านอาหารตั้งอยู่บนถนนอำมาตย์ เปิดบริการทุกวัน ซึ่งมีเวลาเปิดปิดเป็น 2 รอบ ได้แก่เวลา 11:30 - 14:00 น. สำหรับอาหารมื้อเที่ยง และ 17:00 - 21:30 น. สำหรับอาหารมื้อเย็น บรรยากาศด้านใน ชวนหลงใหลมาก ๆ ค่ะ มันงดงามหรูหราด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มขรึม ผ้าปูโต๊ะลายทาร์ทันสีเทาอ่อน อบอุ่นด้วยแสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟจากยุควินเทจ ยุคที่เราถ่ายด้วยภาพฟิล์ม และสีสันของภาพในโทรทัศน์ยังไม่สดใส แต่เป็นยุคสมัยที่มีเสน่ห์ชวนถวิลหา ดิฉันรักการจัดตกแต่งภายในของทางร้านมาก ๆ ค่ะ บรรยากาศย้อนยุค อบอุ่น แบบนี้หากมาทานอาหารกับครอบครัว คุณพ่อคุณแม่คงจะรู้สึกดีไม่น้อย ที่ได้ใช้เวลาไปกับการรับประทานอาหาร ในร้านที่มีบรรยากาศเหมือนกับช่วงที่ท่านทั้งสองยังเป็นหนุ่มสาว ถ้ามาทานอาหารกับเพื่อน ก็ได้ระลึกถึงความหลังในช่วงเวลาที่เรายังเป็นเด็ก ที่ได้แต่ใฝ่ฝันว่าจะได้เป็นพจมาน ถือชะลอมเดินเข้าบ้านสวยหรูเหมือนในละคร และหากทานอาหารกับคนรัก บรยากาศที่แสนโรแมนติกที่ คงทำให้มื้ออาหารนั้น ๆ เป็นความทรงจำที่อบอุ่น ซึ่งจะอยู่กับเราไปจนลมหายใจสุดท้ายในชีวิตแน่ ๆ ดิฉันและเพื่อนประทับใจมาก ๆ เราไม่สามารถอธิบายได้เลยค่ะ ว่ามีความสุขแค่ไหน ที่ตัดสินใจมาทานอาหารที่ร้านหน้าไม้ มาถึงเมนูอาหารกันบ้าง หลังจากที่เปิดเมนูพลิกไปพลิกมากันอยู่หลายรอบ พวกเราก็เกรงใจกันไปมา เพราะในใจของเราแอบเล็งเมนูแนะนำกันไว้เพียบ "แกงสับนกปลากรายคืออะไรอะแก" ดิฉันเงยหน้าจากเมนูพร้อมกล่าวถามเพื่อนสาว เพื่อว่าเธอจะเคยทานเมนูนี้มาแล้ว "ไม่รู้เลยแก" เพื่อนของดิฉันยิ้ม "แกงนกเหรอแก เราไม่กินนกนะ" ดิฉันแสดงจุดยืน "ขอโทษนะคะ ขอถามหน่อยค่ะ" เพื่อนสาวของดิฉันส่งเสียงพร้อมรอยยิ้ม "แกงสับนกปลากรายนี่ เป็นแกงอย่างไรคะ ทำจากนกรึเปล่าคะ" เพื่อนสาวสอบถามคุณน้าเจ้าของร้าน "แกงสับนกเป็นแกงคล้าย ๆ แกงป่าแต่จะเข้มข้นกว่าครับ ในสมัยก่อนเขาก็ใช้เนื้อนกจริง ๆ ครับ สับใส่กับกระดูกนกเพราะนกมีเนื้อน้อยครับ เลยเรียกว่าแกงสับนก แต่ปัจจุบันนี้เราไม่ใช้นกแล้วครับ เราใช้ปลาครับ" คุณน้าเจ้าของร้านให้ความรู้กับเราทั้งคู่ "งั้นเอาแกงสับนก ซึ่งไม่ได้ทำจากนกที่นึงนะคะ ไม่ใส่ผงชูรสนะคะ" เพื่อนสาวของดิฉันยิ้มชอบใจพร้อมสั่งรายการอาหาร แกงสับนกปลากรายชามโต ราคาชามละ 120 บาท เป็นเมนูที่กลิ่นหอม... ลอยมาก่อนอาหารเลยค่ะ หน้าตาเหมือนแกงป่าจริง ๆ ดูจากเครื่องแกงและสีสันแล้ว รสชาติต้องดุเดือดแน่นอนค่ะ นอกจากดิฉันและเพื่อนจะได้ทานอาหารที่ร้านหน้าไม้เป็นครั้งแรกในชีวิต เราทั้งคู่ยังได้ทานแกงสับนกปลากรายเป็นครั้งแรกในชีวิตด้วย รสชาติแกงเข้มข้นมาก ๆ ค่ะ เป็นแกงที่เครื่องหนัก ผักแน่นมาก ๆ แล้วลูกชิ้นปลาจะเยอะไปไหน ขอเตือนว่าอย่าสั่งมาทานคนเดียวนะคะ ทานไม่หมดแน่ ๆ ค่ะ ดิฉันอยากจะเล่าว่า คุณค่ะ... น้ำตาจะไหล นี่คงจะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ดิฉันได้ทานลูกชิ้นปลากรายที่กล้าพูดว่าเป็นเนื้อปลาแท้ ๆ ไม่ใช่แป้ง! และด้วยความที่ทางร้านอนุรักษ์ความสับนก ลูกชิ้นปลากรายของทางร้านจึงเป็นลูกชิ้นที่มีก้างสับละเอียดผสมอยู่ด้วย ทำให้ดิฉันเห็นภาพบรรพบุรษของเราแต่โบราณ ที่ยิงนกมาเป็นอาหารและสับกระดูกนกผสมลงไปเพื่อเพิ่มปริมาณเนื้อ และเพิ่มแคลเซียมให้แก่ร่างกาย จานต่อมาเป็น ยำยอดฟักแม้ว ราคาชุดละ 120 บาท ซึ่งพวกเราสองคนแอบหัวเราะในตอนสั่ง เพราะเพื่อนของดิฉันกำลังลดน้ำหนัก เธอจึงไม่ต้องการจะทานอาหารทอดใด ๆ แต่เมื่อดิฉันเอ่ยถึงเมนูยำ เธอก็หัวเราะพร้อมตอบกลับมาว่า "อยากกินเหมือนกันแก ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า" ยอดฟักแม้วชุบแป้งทอด ทอดมาแบบไม่มีคำว่าอมน้ำมันเลยค่ะ ใครเป็นห่วงเรื่องน้ำหนักก็สามารถเบาใจไปได้นิดหน่อย แล้วทอดมาได้แบบกรอบมาก... เด็ก ๆ ที่ไม่ชอบทานผัก แต่ทานผักชุบแป้งทอดกรอบคงจะถูกใจเมนูนี้แน่ ๆ น้ำยำรสแซ่บแยกมาต่างหาก ทำให้ผักทอดกรอบไม่แช่ในน้ำยำ และไม่นุ่มนิ่ม รสชาติของน้ำยำและเครื่องยำนั้นสวยหรูผู้ดีมากค่ะ ทานแล้วรู้สึกกลายร่างเป็นคุณหนูผู้ดีแบบทันทีทันใด (คราวหน้าจะใส่กระโปรงบานงาม ๆ มาทานเลยเอาจริง ๆ ) มาที่เมนูแนะนำลำดับแรกสุดบนเมนู นั้นก็คือ ผัดเผ็ดเป็ดย่าง ราคาจานละ 120 บาท อีกเช่นกัน เป็นเมนูที่ดิฉันไม่ได้ทานมานานมาก ๆ แล้ว และไม่ค่อยพบร้านใด ๆ จะทำได้ถูกใจมากนัก แต่เป็นเมนูแนะนำของทางร้านอันดับหนึ่ง ดิฉันจึงจิ้มไปที่เมนูพร้อมพูดว่า "กินผัดเผ็ดเป็ดย่างไหมแก" แน่นอนว่าเพื่อนของดิฉันยิ้มด้วยความเขินอาย (หรือละอายกันแน่นะ) พร้อมตอบกลับมาว่า "อยากกินเหมือนกันเลยแก ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า" ดิฉันและเพื่อน อยากจะบอกคุณ ๆ ว่า ยังมีร้านอาหารที่ผัดเผ็ดเป็ดย่างได้งดงาม อย่างไร้ที่ติอยู่บนโลกนี้จริง ๆ ค่ะ เครื่องหนัก รสแน่น เข้มข้นกลมกล่อม ไม่มีรสใดขาด ไม่มีรสชาติไหนเกิน ผัดมาได้แห้งพอดีพองาม สีสันฉูดฉาดสวยงาม กลิ่นหอมหวลตลบอบอวล เย้ายวนใจมาก ๆ ค่ะ ที่สำคัญคือ เป็ด ไม่มีกลิ่นสาบใด ๆ ทั้งสิ้น ดิฉันและเพื่อนทึ่ง และปลื้มปริ่มมาก ณ จุด นี้ ที่สุดแห่งเมนูแนะนำจริง ๆค่ะ ดิฉันและเพื่อนใช้เวลากับอาหารมื้อค่ำมื้อนั้นของเราอย่างเต็มที่จริง ๆ เดินออกมาจากร้านก็ท้องฟ้ามืดแล้วค่ะ พวกเราไม่สามารถอธิบายได้เป็นตัวอักษรอย่างครบถ้วน ถึงความสุขใจที่เราได้รับจากค่ำคืนนั้น ดิฉันเองที่ป่วยหนัก ก็รู้สึกได้รับพลังใจ ได้ทำความฝันเล็ก ๆ ที่จะได้มาทานอาหารร้านงาม ที่ในวัยเด็กไม่เคยคิดว่าจะสามารถทำให้สำเร็จได้ แม้จะป่วยหนักจนไม่สามารถออกจากบ้านไปหาหมอเองได้ ไม่ได้ทำงาน นอนซมทั้งวัน แต่ก็ไม่อาจห้ามใจที่จะรีวิวร้านหน้าไม้ได้เลยจริง ๆ ดิฉันตั้งใจถ่ายภาพให้มือสั่นน้อยที่สุด เพื่อนำเรื่องราวของร้านอาหารที่แสนงดงามนี้ มาบอกเล่าให้ทุก ๆ ท่านได้รู้สึกอิ่มเอมไปกับดิฉันด้วย แอบอยากบอกว่า ใครสนใจจัดงานแต่งงานเล็ก ๆ แบบเฉพาะครอบครัวและเพื่อสนิท ๆ บรรยากาศคือดีมาก ๆ เลยนะคะ โรแมนติกมาก ถ่ายภาพมุมไหนก็สวย และอาหารก็ดีมาก ๆ จริง ๆ นะคะ สามารถติดตามชมภาพบรรยากาศความสุขจากทางร้านได้โดยตรงที่เพจ >>> ร้านอาหาร หน้าไม้ *ภาพปกและภาพประกอบบทความโดยผู้เขียน