ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ชาวไทยในหลาย ๆ ภูมิภาคเดินทางกลับภูมิลำเนา และกิจกรรมที่นิยมกันในช่วงนี้ก็คือการลงสระจับปลา โดยเฉพาะชาวอีสาน เพราะการจับปลาแล้วกินที่สระเลย มันจะได้อรรถรสในการกินมา ทั้งบรรยากาศท้องทุ่งและวัตถุดิบต่าง ๆ ที่อยู่ในท้องนา ซึ่งบทความนี้จะมาบอกเล่าบรรยากาศการทำต้มปลาช่อนกินกลางทุ่งนากันครับ รวมถึงขั้นตอนวิธีการในการทำ ใส่อะไรลงไปบ้าง มันถึงอร่อยรสแซ่บกลางทุ่งนา ไปดูกันเลยครับผม อันดับแรกต้องจับปลาให้ได้ก่อน ซึ่งในปัจจุบันนี้ ด้วยสภาวะอากาศที่เปลี่ยนไปและการใช้สารเคมีในนาข้าวเป็นจำนวนมาก ในบางพื้นที่จำนวนประชากรปลาอาจลดลงมาก และบางสายพันธุ์อาจสูญหายไปจากพื้นที่นั้น ปลาช่อนก็เช่นเดียวกัน บางพื้นที่อาจมีมาก แต่บางพื้นที่ก็เหลือน้อยซะเหลือเกิน แต่ในที่นาผมยังเหลือเยอะพอสมควรครับ เพราะมีสูตรเด็ดในการล่อปลาให้เข้าสระครับ เดี๋ยวจะมาเล่าในบทความหน้านะครับ พอได้ปลาช่อนตัวใหญ่พอดีต้ม ให้นำมาขอดเกล็ดโดยใช้ช้อนโต๊ะขูดเอาเกล็ดออกให้เกลี้ยง จากนั้นแล่ปลาและหั่นเป็นท่อน ๆ พอดีต้ม เสร็จแล้วตั้งหม้อพร้อมน้ำสัก 1-1/2 ลิตร ใส่ข่า ตะใคร ใบมะกรูดลงไป เพิ่มรสเปรี้ยวด้วยมะขามดิบทุ่มและมะขามเปรี้ยวสุก ปรุงรสด้วยน้ำปลา ผงชูรส และรสดี ตั้งหม้อทิ้งไว้จนเดือด จากนั้นน้ำเนื้อปลาลงต้มแล้วทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที ไม่ต้องคนนะครับ ช่วงเอาปลาลงใส่ เดี๋ยวมันจะคาว พอเนื้อปลาสุกได้ที่ ให้เดินหารังมดแดงสัก 2 รัง ถ้าเป็นรังใหญ่ก็ใส่พอประมาณ จะเพิ่มความแซ่บจากกลิ่นมดแดงด้วย เสร็จแล้วหั่นผักชีไทย ต้นหอมลงโรยหน้า ถ้าแถวนั้นมีผักขะแยงให้ใส่ลงไปด้วย กลิ่นของต้มปลาจะได้บรรยากาศท้องทุ่งมากยิ่งขึ้น เสร็จแล้วก็ตักเสิร์ฟ พร้อมรับประทานได้เลยครับ และอย่าลืมทำแจ่วไว้กินด้วยนะครับ ทำง่ายมาก ใส่พริกป่น น้ำปลา ผงชูรส มะกอก ผักชีไทย และต้นหอม คลุกเคล้าให้เข้ากัน ก็จะได้แจ่วรสแซ่บกินกับต้มปลาช่อน ได้บรรยากาศและกลิ่นอายท้องทุ่งมากเลยครับ หวังว่าบทความนี้จะสื่อสารในเรื่องบรรยากาศความเป็นลูกทุ่งได้นะครับ การกินอาหารที่อร่อยที่สุดคือกินอาหารอยู่ป่า เพราะบรรยากาศที่เหมาะสม จะทำให้คนมีอารมณ์ร่วมที่จะกินให้อร่อยครับ ขอฝากบทความไว้เพียงเท่านี้นะครับผม สวัสดีครับ