ขนมโมจิ ขนมแป้งนุ่มๆไส้แน่น ๆ เป็นขนมที่เรียกได้ว่าเมื่อทานแล้วรู้สึกฟินมาก ๆ เมื่อได้กินได้ลิ้มลองจะต้อง ติดใจในความหอมนุ่มละมุนของมันขนมสัญสัญญาชาติญี่ปุ่น อย่างขนมโมจินี้ มีเรื่องราวตำนานเล่าถึงการเข้ามาและกลายเป็นขนมที่คนไทยชื่นชอบมาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องราวของตำนานรักขนมหวานโมจิ นครนายกค่ะ ถ้าได้รู้แล้วรับรองว่าคุณจะต้องตราตรึงในรสชาติเพิ่มขึ้นอย่าง เรื่องราวของตำนานรักขนมอมตะ ของคุณพันนากับคุณซาโต้เริ่มต้นขึ้น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือ สงครามเอเชียบูรพา พ.ศ.2482-2488 กองทัพทหารญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานทัพในพื้นที่ต่างๆของไทย รวมทั้งในจังหวัดนครนายกด้วย ที่บริเวณ ต. ศรีกะอา และ ต.พิกุล อ.บ้านนา (ซึ่งปัจจุบันคือพื้นที่ บริเวณ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าและพื้นที่ใกล้เคียง ) เมื่อมีค่ายทหารญี่ปุ่นเกิดขึ้น ชาวบ้านทีอาศัยอยู่แถวนั้นก็เอาสินค้ามาขาย สินค้าต่างๆ ทั้งของใช้ อาหาร ขนม มาขายให้กับทหารญี่ปุ่น พันนา สาวน้อยวัย 18 ปี เป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาผู้มีหน้าตาจิ้มลิ้ม ก็ได้นำขนมต่าง ๆ มาขายให้กับทหารญี่ปุ่นพร้อมกับญาติ ๆ เช่น ซาลาเปาทอด กล้วยทอด และ ขนมไข่เหี้ย ไม่นานก็มีโอกาสได้รู้จักกับ ซาโต้ ทหารแพทย์หนุ่มชาวญี่ปุ่น เหมือนกับพรหมลิขิตทั้งสองคนได้มีความรักและความรู้สึกดีๆให้แก่กัน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ต้องเป็นไปอย่างลับ ๆ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงของการทำสงคราม ชาวบ้านและผู้คนตอนนั้นก็ไม่มีใครชื่นชอบทหารชาวญี่ปุ่นนัก เครดิตภาพ : Facebook Kha:w-nom.mp3 ต่อมาไม่นานซาโต้ต้องย้ายไปทำหน้าที่ที่อื่น แต่ก่อนจากกัน ซาโต้ได้สอนพันนาทำขนมโมจิ ซึ่งเป็นขนมหวานของญี่ปุ่นที่เรียกว่าวากาชิ และบอกกับเธอว่า "ขนมโมจินี้จะเป็นตัวแทนเขา และเป็นตัวแทนความรักความรู้สึกของเขาที่มอบให้แก่พันนา" พันนาได้เรียนรู้วิธีทำขนมโมจิและทำขนมออกมาให้ซาโต้ชิม เขาได้ชิมรสชาติและสัมผัสถึงความรู้สึกของพันนาที่ตั้งใจทำขนมโมจิให้เขาแล้วบอกกับเธอว่า "คุณทำขนมโมจิญี่ปุ่นได้อร่อยที่สุดในโลกเลย" ก่อนที่จะต้องจากกัน ซาโต้บอกกับนางพันนาว่า "คุณจำไว้นะหากวันใดคิดถึงผม ให้ทำขนมโมจิ หากเขายังมีชีวิตอยู่ ซาโต้จะกลับมาหาคุณอีกครั้ง ถ้าจะทำขายก็ทำได้นะ คุณจะได้มีรายได้เลี้ยงตัวเอง " และซาโต้ก็จากไป พร้อมฝากขนมโมจิเป็นตัวแทนความรักแสนพิเศษของเขาไว้ให้กับพันนา ด้วยหน้าที่และประเทศชาติที่ต้องมากก่อนความรู้สึกของตัวเอง ทำให้ทั้งคู่จากลากันด้วยน้ำตาสาวน้อยพันนาใช้ชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็ง พันนายังคงทำอาชีพหาบของขายและขายขนมโมจิให้กับกองทัพทหารญี่ปุ่นที่ยังอยู่ที่ค่ายต่อ ต่อไปเมื่อทหารญี่ปุ่นกลับไปจนหมด สงครามจบลงประเทศญี่ปุ่นพ่ายแพ้ต่อสงคราม พันนาก็ยังคงทำขนมโมจิขายให้ชาวบ้านในจังหวัดนครนายก จนกระทั่งวันหนึ่งก็ถูกทหารไทยสั่งห้าม ทำขนมที่ขายอยู่ ทั้งห้าม ทั้งห้ามกิน ห้ามขาย ขนมญี่ปุ่น ก็คือขนมกบฏ ขนมโมจิจึงถูกเรียกว่าขนมกบฏและ กลายเป็นของต้องห้ามอยู่พักใหญ่ จนทุกคนลืมเลือนไป เครดิตภาพ : Facebook Kha:w-nom.mp3 ถึงจะถูกสั่งห้ามแต่นางพันนาก็มักจะแอบทำขนมโมจินี้ทุกครั้งที่เขาคิดถึงซาโต้ ขนมนี้เป็นตัวแทนของความคิดถึงทหารหนุ่มที่เธอรัก ทุกครั้งที่เธอทำขนม พันนาจะตั้งจิตอธิษฐาน สวดมนต์ภาวนาให้ซาโต้กลับมากินขนมที่เธอทำ แต่ซาโต้ก็ไม่ได้กลับมา ทั้งคู่ไม่เคยได้ข่าวคราวของกันและกันอีก แต่พันนายังคงคิดถึงซาโต้ และทำขนมโมจิอยู่ เรื่อย ๆ เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จนในปีพ.ศ. 2547 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงทราบประวัติเรื่องขนมโมจินี้ จึงให้ทหารคนสนิทไปสืบหาที่มาขนมโมจิสูตรดังกล่าว ซึ่งได้ไปหาอยู่หลายที่และนำมาให้เสวย แต่สมเด็จพระเทพฯทรงตรัสว่า ไม่ใช่ขนมโมจิสูตรที่ตามหา ต่อมาอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายกได้มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครนายก ประชาสัมพันธ์และสืบหา จนได้ทราบจากนายมานพ ศรีอร่าม ข้าราชการพัฒนาชุมชน เขากล่าวว่าผู้ที่ทำขนมโมจิดังกล่าวคือมารดาของตัวเอง คือนาง พันนา ศรีอร่าม ซึ่งในขณะนั้นมีอายุมากแล้ว แต่ความทรงจำยังดีสามารถเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตได้เป็นอย่างดี พร้อมได้สอนให้บุตรและสะใภ้ ได้ทำขนมดังกล่าว ถวายสมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีฯ "ยายพันนารอคอยวันนี้มานานแสนนานวันที่ขนมโมจิของแกได้ถูกเผยแพร่อีกครั้งเหมือนได้บอกกับซาโต้ว่ายังมีสาวบ้านนาคนนี้รออยู่เสมอ" ปัจจุบันยายพันนาได้จากโลกนี้ไปแล้ว โดยได้รับพระราชทานเพลิงศพจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีฯ และปัจจุบันขนมโมจิสูตรดังกล่าวได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีรสชาติที่อร่อย กลมกล่อมและมีไส้ให้เลือกหลายชนิด เอกลักษณ์ของขนมโมจิสูตรสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะมีความพิเศษแตกต่างจากขนมโมจิที่วางขายในจังหวัดอื่น เนื่องจากขนมโมจิสูตรนครนายกทำจากแป้งข้าวเหนียวและนำไปต้ม จะมีความเป็นเอกลักษณ์ คงความสดอร่อย นุ่มและกลมกล่อม รวมทั้งมีไส้ที่หลากหลาย รสชาติใกล้เคียงกับขนมโมจิสูตรดั้งเดิม จากประเทศญี่ปุ่นมากที่สุด เครดิตภาพ : Facebook Kha:w-nom.mp3 โมจินครสวรรค์ ? หลังจากได้ฟังเรื่องราวนี้หลายคนอาจจะนึกถึงของฝากขึ้นชื่ออย่าง ขนมโมจินครสวรรค์ แล้วเกิดสงสัยว่าใช่ขนมสูตรเดียวกันกับคุณพันนาหรือไม่ คำตอบก็คือไม่ใช่ค่ะ หากเป็นขนมโมจิจากนครสวรรค์นั้น จะเป็นคนละสูตรกัน ขนมโมจินครสวรรค์อันที่จริงแล้วคือ ขนมเปี๊ยะนม ต่างหาก สูตรการทำขนนโมจิสูตรนี้ มีพื้นฐานเช่นเดียวกับขนมเปี๊ยะ แต่ได้เพิ่มส่วนประกอบของนมลงไปในแป้งขนมให้เกิดความหอมหวาน และเป็นที่ชื่นชอบของหลาย ๆ คน ด้วยรูปร่างหน้าตาที่คล้ายขนมโมจิของญี่ปุ่นและเป็นชื่อที่จดจำได้ง่ายกว่า คนไทยจึงเรียกขนมเปี๊ยะนมกันติดปากว่า โมจิแทน ขยายความวากาชิ เมื่อสักครู่เราได้พูดถึงขนมวากาชิที่ซาโต้สอนพันนาทำ วากาชิ คือ ชื่อเรียกรวมของขนมหวานของญี่ปุ่น ซึ่งวากาชิ มีมานานตั้งแต่สมัยนาระหรือเมื่อ 1300 ปีที่แล้ว และวากาชิเฟื่องฟูที่สุดในสมัยเอโดะ ทำให้ในญี่ปุ่นแข่งกันขายและแข่งกันคิดสูตรขนมใหม่ ๆ จนขนมเหล่านั้นกลายเป็นต้นตำหรับจากญี่ปุ่น วากาชิ มีหลายประเภทด้วยกัน เช่น นะมะกะชิ โมนากะ โยคัง มันจู โดรายากิ โมจิ ไดฟุกุ เป็นต้น ถึงแม้ว่า วากาชิจะได้รับความนิยมมาก แต่ชาวญี่ปุ่นก็ไม่ได้กินวากาชิกันบ่อย ๆ จะกินเป็นของว่างและในโอกาสพิเศษเมื่อมีพิธีการต่าง ๆ เช่น พิธีแต่งงาน หรือพิธีชงชา ส่วนมากชาวญี่ปุ่นนิยมกินผลไม้มากกว่า ไดฟุกุ? กับ โมจิ? อันที่จริงขนมโมจินครนายกที่เรารู้จักกัน ก็ไม่ใช่ขนมโมจิ แต่คือไดฟุกุ อาจสงสัยว่าทั้ง 2 ต่างกันอย่างไร เดิมทีขนมโมจินั้นเป็นขนมที่ทำมาจากข้าวเหนียวที่ถูกโขลกหรือบดให้กลายเป็นแผ่น หรือทุบให้กลายเป็นเนื้อเดียวกันเรียกว่าแป้งโมจินั่นเอง ถ้านำไปย่างไฟก็จะได้กลิ่นหอมกรุ่น นำมากินกับซุปถั่วแดง ซึ่งขนมโมจิจะเห็นได้บ่อยๆ ในช่วงเทศกาลสุดพิเศษ เช่น วันขึ้นปีใหม่ของญี่ปุ่น นอกจากนี้ แป้งโมจิยังเป็นส่วนหนึ่งของไดฟุกุอีกด้วย ส่วนไดฟุกุหมายถึง ขนมที่มีไส้ถั่วแดง แล้วห่อด้วยแผ่นแป้งข้าวเหนียวหรือ แป้งโมจินั่นเอง สรุปให้เข้าใจง่าย ๆ คือ ไดฟุกุเป็นขนมที่ใช้แป้งโมจิเป็นส่วนประกอบ ซึ่งขนมโมจิที่เราเห็น ๆ กันอยู่ในทุกวันนี้อันที่จริงมันคือขนมไดฟุกุ แต่เราก็ได้รู้จักและเรียกกันมาจนติดปากแล้ว ในฐานะ ขนมโมจิ วันนี้เราก็ได้รู้เรื่องราวและได้สาระกันไปจากขนมโมจิ ไม่ว่าอันที่จริงมันจะเรียกว่าอะไร แต่ขนมโมจิ หรือ ขนมกบฏ สูตรสงครามโลกครั้งที่ 2 จากจังหวัดนครนายก ก็ถือเป็นตัวแทนของความรักและการรอคอยที่มั่นคงและน่าจดจำของของคุณพันนาและซาโต้ เป็นตำนานรักที่ทั้งเศร้าและน่ารักอแสนกินใจ และที่น่าสนใจคือเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงอีกด้วย ครั้งหน้าที่คุณได้กินโมจิอย่าลืมนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้นะคะ บทความนี้เป็นบทความที่เขียนขึ้นมาจากเนื้อหาพอดแคสต์ที่นักเขียนเคยทำเอาไว้ ชื่อช่องว่า ข้าวหนม.mp3 เป็นช่องยูทูปที่จะมาเล่าถึงเรื่องราว ตำนานหรือเกร็ดที่น่าสนใจของขนม (ซึ่งเราคิดว่าเรื่องราวตำนานอะไรแบบนี้หากไม่นำมาผลิตซ้ำ ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ตายไปเพราะเป็นข้อมูลที่ไม่น่าสนใจและดึงดูดเท่าไหร่) เราจึงคิดว่าหากนำมาเล่าผ่านพอดแคสต์และเพลง จะทำให้เรื่องราวเหล่านี้มีคนเข้าถึงได้มากขึ้น รวมทั้งการนำข้อมูลมาเผยแพร่ลงในบทความนี้ด้วย ใครสนใจก็ลองตามเข้าไปฟังกันได้นะคะ Youtube : ข้าวหนม .mp3 Facebook : Kha:w-nom.mp3 Instagram : khawnom.mp3 เครดิตภาพจากผลงานเพจของผู้เขียน thitha. Kha:w-nom.mp3