เช้าวันหนึ่งหลังจากที่เพื่อนสนิทของดิฉัน ได้ไปส่งลูกสาวที่โรงเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอก็มารับดิฉัน ผู้ไร้ซึ่งยานพาหนะส่วนตัว ไปรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าปกติแล้วคนขอนแก่นจริง ๆ ที่ไม่ได้รับประทานอาหารเช้าที่บ้าน เขาไปรับประทานอาหารเช้ากันที่ไหนบ้าง เมื่อเพื่อนสอบถามว่าต้องการรับประทานอาหารร้านไหน ดิฉันจึงใช้เวลาแสนนานในการคิด "แกกินอาหารใต้ตอนเช้าได้ไหม" เพื่อนของดิฉันกล่าวถาม "ก็...ได้นะ" ดิฉันตอบด้วยความไม่มั่นใจ เพราะอาหารใต้มักมีรสจัด หากจะเปรียบเทียบ ก็คงจะเหมือนการรับประทานส้มตำเผ็ด ๆ ตั้งแต่มื้อเช้า ซึ่งตั้งแต่เกิดมา ดิฉันยังไม่เคยรับประทานส้มตำในตอนเช้าเลยค่ะ ดิฉันไม่แน่ใจว่าการรับประทานอาหารรสจัด ๆ ในยามเช้า จะส่งผลให้ระบบทางเดินอาหารของดิฉัน ทำงานรวดเร็วเป็นพิเศษหรือไม่ อันนี้คงต้องมาพิสูจน์กันดู ป้าชูศรี อาหารปักษ์ใต้ 90 เมนู! เพื่อนสนิทของดิฉันได้พาให้ดิฉันมารู้จักกับร้านข้าวแกงปักษ์ใต้ ของป้าชูศรี ร้านข้าวราดแกงอันโด่งดัง ที่เพื่อนสนิทของดิฉันและครอบครัวเป็นลูกค้ามาตั้งแต่เมื่อสมัยยังเป็นเด็ก เนื่องจากรสชาติของอาหารที่จัดจ้าน เข้มข้น เครื่องแกงจัดเต็ม และมาตรฐานที่สม่ำเสมอคงเส้นคงวา เพื่อนสนิทของดิฉันเล่าว่า ในอดีตภาชนะบรรจุอาหารต่าง ๆ จะถูกจัดเรียงไว้ในตู้กระจก แต่ในปัจจุบันนี้ตู้กระจกเหล่านั้นมีขนาดเล็กเกินไปเสียแล้ว ไม่สามารถรองรับจำนวนภาชนะอาหาร ที่มากมายละลานตาทั้งหมดนี้ได้อีกต่อไป! ซึ่งนอกจากกับข้าวกับปลาแล้ว ร้านป้าชูศรีก็มีหวานเย็น ไอศกรีม ของหวาน ขนมหวานไทย ๆ ด้วยนะคะ มาที่เดียวได้ครบทุกอย่างค่ะ ร้าน ป้าชูศรี อาหารปักษ์ใต้ ตั้งอยู่ที่ ถนน ศรีจันทร์ ใกล้ ๆ กับโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น มีที่จอดรถริมถนนหน้าร้าน และด้านหลังร้าน โดยเข้าซอยข้าง ๆ ร้านริมขวามือค่ะ หากคิดว่ามาไม่ถูก ลองศึกษาเส้นทางได้จากเพจ>>> ข้าวแกงใต้ป้าชูศรี เปิดให้บริการทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 8:00 - 15:00 น. ซึ่งนับปีนี้ก็เปิดร้านมาแล้วถึง 25 ปีค่ะ หากต้องการติดต่อสั่งอาหาร สามารถติดต่อป้าชูศรีได้ที่หมายเลข 089-842-0418 นอกจากนี้ยังเปิดขายกับข้าวที่ตลาดหนองใหญ่ ในเวลา16:00 -21:00 น. ด้วยนะคะ ร้านของป้าชูศรี มีความอลังการด้วยจำนวนเมนูของอาหารปักษ์ใต้รสเข้ม ที่แต่ละวันจะมีจำนวนรายการอาหารมากถึง 90 รายการ! เยอะจนตัดสินใจลำบากจริง ๆ ค่ะ ว่าจะรับประทานอะไรดี รักพี่เสียดายน้องไปหมดทุกเมนูจริง ๆ ดิฉันเดินวนไปมาอยู่หลายรอบ จนกระทั่งต้องปรึกษากันกับเพื่อน ว่าจะสั่งอะไรดี เพราะเราทั้งคู่ต้องการจะชิมอาหารหลาย ๆ เมนู ทำอย่างไรจึงจะได้ชิมอาหารหลายเมนูมากที่สุด โดยที่ไม่ต้องกลิ้งออกมาจากร้านหลังจบมื้อเช้า ระหว่างนั้น ดิฉันก็ได้สอบถามเรื่องราวความเป็นมา ของร้านป้าชูศรีจากตัวคุณป้าเอง ซึ่งคุณป้าเล่าให้ฟังว่า ได้ขายอาหารปักษ์ใต้ที่จังหวัดขอนแก่นมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว เริ่มจากเข็นรถเข็นขายที่ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น จากนั้นก็ขยับขยาย ย้ายถิ่นฐาน จนกระทั่งมาปักหลักเปิดร้าน ณ ทำเลปัจจุบัน ซึ่งที่ร้านตรงนี้ ป้าชูศรีได้ทำการค้ามาแล้ว 25 ค่ะ ป้าชูศรีจะเริ่มทำกับข้าวเข้าครัวตั้งแต่ตี 3 ตระเตรียมกับข้าว จนจำนวนรายการอาหารมากมายเป็นที่พึงพอใจ พร้อมจะเปิดให้บริการ ก็ประมาณ 8 โมงเช้า ซึ่งกับข้าวจะต้องมีไม่ต่ำกว่า 70 รายการ และจะทำออกมาเพิ่มเรื่อย ๆ ตลอดทั้งวันค่ะ! ดิฉันขอสารภาพว่านี่เป็นการมาร้านอาหารที่ไม่เคยรู้จักแล้วตื่นเต้นที่สุด อันดับแรก เพราะดิฉันเป็นกบในกะลาไม่ทราบว่ามีร้านอาหารปักษ์ใต้แบบนี้ในขอนแก่น ซึ่งบรรยากาศเหมือนเวลาไปรับประทานอาหารที่ภาคใต้จริง ๆ ค่ะ! ประการต่อมา คือจำนวนรายการอาหารที่มากมายครบครัน ไม่ว่าจะกล่าวถึงเมนูอาหารใด ๆ ที่รู้จักคุ้นเคย เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะไม่พบในร้านของป้าชูศรี! ดิฉันเดินวนไปมารอบโต๊ะวางอาหาร อยู่หลายรอบ จนคุณพี่ผู้รอให้บริการตักอาหารให้แก่เราทั้งคู่ถึงกับขำ แล้วแนะนำพวกเราว่า "เอาเป็นตักราดไหม จะได้หลายเมนูหน่อย แล้วที่เหลือก็ค่อยสั่งเป็นกับข้าว" ทันใดนั้นความสว่างก็เกิดขึ้น รู้สึกฉลาดขึ้นมาทันทีเลยค่ะ ดิฉันและเพื่อนจึงได้ตกลงสั่งข้าวราดแกงคนละ 3-4 อย่าง แล้วกับข้าวอีก 2 อย่าง รวมแล้วเราได้ลิ้มลองเมนูทั้งหมด 9 รายการในมื้อเดียวค่ะ! ทุกอย่างดีงามมากค่ะ รสชาติเลอค่าจริง ๆ จานของดิฉันนั้นประกอบด้วย... กะหล่ำผัดน้ำปลา แพนงเนื้อ และ ผัดลูกเหรียง รายการอาหารของดิฉัน 3 รายการ มีลูกเหรียงประกอบด้วย ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่หายากเย็น จึงมีราคารวมอยู่ที่ 70 บาทค่ะ ปกติข้าวราดแกง 1 อย่าง ราคา 40 บาท ข้าวราดแกง 2 อย่าง ราคา 50 บาท ถ้า 3 อย่างไม่มีลูกเหรียงก็ 60 บาท กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา รสชาติกลมกล่อม กะหล่ำนุ่มกรอบกำลังพอดีค่ะ ดิฉันตั้งใจสั่งเพื่อมารองกระเพาะก่อนที่จะรับประทานอาหารเผ็ด ๆ ค่ะ แพนงเนื้อ รสชาติเลอค่า เนื้อหนานุ่มเหนียวพอดี พอดีมากจริง ๆ ดิฉันและเพื่อนตะลึงจริง ๆ ค่ะ มันดีงามน้ำตาไหลจริง ๆ ค่ะคุณ อย่าได้พลาดเชียว ผัดลูกเหรียง รสชาติเข้มข้น ที่สุดแห่งเครื่องแกง ไม่แน่ใจว่าหมูกับเครื่องแกงใส่อะไรมากกว่ากัน เพราะรสชาติเข้มข้นสุดมาก... ส่วนลูกเหรียง รสชาติคล้าย ๆ กับสตอ แต่เผ็ดร้อนไม่เท่า และกลิ่นไม่เหม็นฉุนเท่าสตอนะคะ รับประทานเสร็จน่าจะไม่ต้องไปแปรงฟันใหม่อีกรอบค่ะ ฝั่งเพื่อนของดิฉัน ประกอบไปด้วย ผัดวุ้นเส้น (อันนี้ดิฉันอยากรับประทาน ฮ่าฮ่าฮ่า) ผัดหน่อไม้ ปลาดุกผัดเผ็ด และผัดใบเหลียง (อันนี้ก็ดิฉันอยากรับประทานเองค่ะ) ทั้งหมด 4 รายการ ราคา 70 บาท ผัดวุ้นเส้น เส้นนุ่มเหนียวยืด ผัดได้แห้งดีนะคะ รสชาติกลมกล่อมสมใจ เส้นไม่เละ ไม่อืด ไม่แฉะ ดีงามค่ะ ผัดหน่อไม้ ดิฉันไม่ได้รับประทาน เพราะเป็นเมนูโปรดของเพื่อนค่ะ ซึ่งเพื่อนของดิฉันบอกว่า "ดีมาก ๆ ชอบมาก ๆ หน่อไม้ไม่แก่เลยนะ รสชาติอร่อยอะแก จะให้บอกว่ายังไง รสชาติเหมือนเดิมเลย เมื่อก่อนอร่อยยังไงก็อร่อยเหมือนเดิมอะ" ปลาดุกผัดเผ็ด เมนูโปรดของคุณเพื่อน ซึ่งเธอบอกว่า "อร่อยดีแก ก็รสชาติแบบที่เขาชอบอะ หวาน ๆ เค็ม ๆ เผ็ด ๆ มันรสชาติพอดีหมดเลยแก อร่อย" ผัดใบเหรียง รสชาติออกหวานนิด ๆ รู้สึกดีงามนุ่มละมุนละไม รับประทานแล้ว เหมือนได้เริ่มต้นเช้าวันใหม่อันสดใส แบบเจ้าหญิงผู้เลอโฉมแห่งท้องทะเลใต้ รับประทานแล้วรู้สึกอารมณ์ดี นั้นก็เป็นเพราะกับข้าวเลิศรสถูกอกถูกใจสินะ มีความสุขจังเลย ฮ่าฮ่าฮ่า ใครอยากแปลงร่างเป็นเจ้าหญิงแห่งท้องทะเลใต้ ต้องไม่พลาดผัดใบเหรียงนะคะ ต่อมาเป็นแกงเทโพ แกงที่พวกเราลงความเห็นว่า เราทั้งสองคนชื่นชอบเมนูนี้ และเป็นเมนูที่ไม่เคยทำรับประทานเองที่บ้านด้วย... แกงเทโพ ชามนี้ราคา 60 บาท ซึ่งเป็นแกงเทโพที่รสชาติเข้มข้นสุด ๆ ผัดบุ้งก็นุ่มพอดี ดิฉันปลื้มใจมาก ๆ ค่ะ ต่อมาเป็น หมูทอด ราคา 60 บาท หมูทอดรสเข้มกรอบถูกใจ ถ้าคิดถึงหมูทอดของปักษ์ใต้ แล้วรู้ว่าตนเองนั้นหาโอกาสไปภาคใต้ยากหนักหนา ขอให้ปาดน้ำตาแล้วพาร่างของเรามาที่ร้านป้าชูศรีค่ะ รสดี รสนี้ ไม่มีผิดเพี้ยนเลยค่ะ ต่อมาเป็นเมนูฟรี ที่ทำให้ดิฉันตะลึง และปลาบปลื้มใจเป็นหนักหนา คือ น้ำพริกกะปิและผักสดฟรี ที่เป็นสัญลักษณ์ของร้านอาหารทางภาคใต้ ไม่ว่าจะร้านชาวบ้านริมถนน หรือร้านไหน ๆ ก็จะมีผักและน้ำพริกให้เรารับประทานได้ฟรี ดิฉันชื่นชอบสิ่งนี้เป็นที่สุด เพราะเป็นการส่งเสริมการบริโภคผักอย่างเป็นรูปธรรมสุด ๆ ความปราณีตของร้านป้าชูศรี ยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น นอกจากผักทั้งหมดจะถูกล้างอย่างสะอาด หั่นและจัดวางอย่างสวยงามแล้ว กระถินของทางร้านจะถูกตัดขั้ว เพื่อความสะดวกในการปอกเปลือกกระถินอีกด้วยค่ะ ที่สุดแห่งความใส่ใจ แม้รายละเอียดเล็ก ๆ ก็ไม่ปล่อยทิ้ง เรียกว่าที่บ้านป้าชูศรีรับประทานกันแบบไหน จัดจานกันอย่างไร ร้านป้าชูศรีก็จัดให้ในระดับเดียวกัน (ดีกว่าที่บ้านของดิฉันอีกค่ะ) ลูกเหรียง ในตอนแรกดิฉันคิดว่าตัวเองสั่งหมูผัดสตอ แต่พอมาสังเกตดี ๆ เอ๊ะ! ทำไมสตอกลิ่นไม่ฉุน ลูกเล็ก ๆ ดีด้วย อ้าว! ทำไมมีรากงอก พอหันซ้ายหันขวาไปเห็นป้ายชื่อเมนูอาหาร จึงพบว่า นี่คือลูกเหรียงจ้า...พี่จ๋า... เกิดมาเพิ่งเคยกินลูกเหรียงเป็นครั้งแรกในชีวิต แล้วไปกินแบบงง ๆ ไม่รู้ตัวอีกตะหากนะ ซึ่งลูกเหรียง ไม่ใช่ลูกของต้นเหลียง ที่นำใบเหลียงมาผัดรับประทานนะคะ แพนงเนื้อ เนื้อหนานุ่มเหนียว พอดีพองามมาก ๆ เคี้ยวประทับใจมาก ๆ จนอยากจะแบ่งปันค่ะ อย่าได้พลาดเลยเชียว เมื่อเรารับประทานอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ได้ซื้ออาหารกลับบ้านกันถ้วนหน้า ดิฉันไม่พลาดซื้อข้าวยำมาฝากคุณมารดาค่ะ เป็นเมนูที่เราทั้งสองคนชื่นชอบมาก ๆ จากนั้นดิฉันก็ได้พูดคุยกับป้าชูศรีอีกเล็กน้อย เรื่องภาระกิจอันมากมายในแต่ละวัน เพราะผักก็ต้องเตรียม กับข้าวก็ต้องทำ พริกแกงก็ทำเอง มะพร้าวคั่วเอง ทุกอย่างที่ร้านทำเองหมด เพื่อคุณภาพและมาตรฐานที่คงเส้นคงวา แม้จะมีภารกิจรัดตัวตลอดเวลา ต้องทำโน้นทำนี้อยู่ไม่หยุด ป้าชูศรีก็ยังคงให้การต้อนรับลูกค้าทุกท่านด้วยรอยยิ้ม ที่ส่องประกายความเมตตา และความอ่อนโยนออกมาจากหัวใจอยู่เสมอ การบริการที่งดงามจริงใจนี้ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ดิฉันประทับใจ และมีความสุขใจเหลือเกินค่ะ ที่ได้รู้จักร้านอาหารร้านนี้ ดิฉันเป็นคนมีความสุขจากการกิน ดิฉันรักอาหาร รักร้านอาหารที่ทำอาหารดี ๆ มีคุณภาพ และให้บริการด้วยหัวใจ ถึงแม้จะมารับประทานอาหารร้านคุณป้าเป็นครั้งแรก แต่ดิฉันประทับใจในทุกสิ่งจริง ๆ ไม่ว่าจะเรื่องราวของการต่อสู้ประกอบอาชีพสุจริต ด้วยความมานะอดทนของป้าชูศรี หรือจะเป็นรอยยิ้ม รสชาติของอาหาร และการบริการ ทุกสิ่งทุกอย่างสวยงามลงตัว เป็นเรื่องราวที่ดิฉันอยากจะแบ่งปัน เพราะอยากให้คนอื่น ๆ ได้มีความสุขเหมือนอย่างที่ดิฉันมี ในช่วงเวลาที่ดิฉันรับประทานอาหาร ที่ร้านป้าชูศรี อาหารปักษ์ใต้ ไม่ว่าจะภาคเหนือ กลาง ใต้ อีสาน อาหารของทุก ๆ ภาคมีเอกลักษณ์และเสน่ห์แตกต่างกัน ซึ่งดิฉันรักอาหารทุกภาคเลยค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า *ภาพปกและภาพประกอบบทความโดยผู้เขียน