9 ทริคเลือกร้านกาแฟสดริมทาง แบบไหนดีอร่อย มั่นใจได้ในคุณภาพ มารู้จักกันเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล การดื่มกาแฟสดริมทางกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวันของหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้าก่อนไปทำงาน ระหว่างพักกลางวัน หรือแม้แต่ยามบ่ายที่ต้องการความสดชื่น และร้านกาแฟริมทางมักดึงดูดใจด้วยความสะดวก รวดเร็ว และราคาที่เข้าถึงง่าย แต่ในอีกมุมหนึ่งกาแฟสดริมทาง ก็มีความแตกต่างกันออกไปอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งด้านคุณภาพ ความสะอาดและรสชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มักเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แก้วกาแฟธรรมดาๆ กลายเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ หรืออาจเป็นเพียงเครื่องดื่มที่ดื่มเพราะจำเป็นเท่านั้นก็ได้ค่ะ และด้วยเหตุข้างต้นทำให้การรู้วิธีเลือกร้านกาแฟสดริมทาง จึงเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ เพราะไม่ใช่ทุกร้านที่จะสามารถมอบรสชาติที่ดีและได้มาตรฐานเหมือนกันทั้งหมด โดยบางร้านอาจใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การเลือกเมล็ดกาแฟคุณภาพ การชงที่พิถีพิถัน ไปจนถึงบรรยากาศร้านที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจ ในขณะที่บางร้านอาจขาดการดูแล ทำให้รสชาติไม่คงที่หรือมีความเสี่ยงด้านสุขอนามัย และเพื่อช่วยให้คุณผู้อ่านมั่นใจมากขึ้นในการเลือกดื่มกาแฟริมทาง กับ 9 ทริคง่ายๆ ที่จะทำให้การเลือกกาแฟแก้วโปรดของเราทั้งอร่อย ปลอดภัย และคุ้มค่ามากกว่าเดิม กับเคล็ดลับที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ค่ะ 1. มองหาการจัดวางและบรรยากาศของร้าน การเลือกแวะร้านกาแฟริมทางควรเริ่มจากการสังเกตการจัดวางภายในร้านค่ะ ว่ามีความเป็นระเบียบหรือไม่ เคาน์เตอร์วางเครื่องชง เครื่องบด และอุปกรณ์ต่างๆ ควรอยู่ในตำแหน่งที่หยิบใช้งานสะดวก ไม่รกหรือวางทับซ้อนกันจนดูไม่น่าเชื่อถือ หากร้านมีพื้นที่ที่โปร่งโล่ง ไม่แออัดจนเกินไป จะทำให้การทำงานของคนชงคล่องตัว และลูกค้ารู้สึกสบายตาและมั่นใจมากขึ้น การจัดวางที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยในเรื่องความสะดวก แต่ยังสะท้อนถึงความใส่ใจและมาตรฐานการบริการของร้านอีกด้วยนะคะ นอกจากการจัดวางแล้ว บรรยากาศรอบร้านก็สำคัญไม่แพ้กัน แม้จะเป็นเพียงร้านเล็กๆ ริมทาง แต่ถ้ามีการตกแต่งเล็กน้อย เช่น วางต้นไม้เพิ่มความสดชื่น ใช้ป้ายที่ชัดเจน หรือเลือกใช้โทนสีสะอาดตา ก็ช่วยให้ร้านดูน่าเข้าไปลองมากขึ้น บรรยากาศที่ดูตั้งใจจัดเตรียมยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่า ผู้ขายให้ความสำคัญกับคุณภาพในทุกด้าน การเลือกดื่มจากร้านที่มีการจัดบรรยากาศน่าเชื่อถือแบบนี้ จึงทำให้มั่นใจได้ว่ากาแฟที่เราจะได้รับ ไม่ได้มีดีแค่รสชาติ แต่ยังมาพร้อมมาตรฐานและความใส่ใจค่ะ 2. สังเกตเมล็ดกาแฟและการเก็บรักษา เมล็ดกาแฟเป็นหัวใจสำคัญที่บ่งบอกคุณภาพของกาแฟในแต่ละแก้ว หากเราสังเกตเห็นว่าเมล็ดกาแฟดูเงางาม แห้งสนิท และไม่จับตัวเป็นก้อน แสดงว่าเมล็ดยังคงความสดใหม่ และได้รับการเก็บรักษาอย่างถูกวิธี การเก็บในโหลแก้วหรือถุงฟอยล์ปิดสนิท พร้อมวาล์วระบายก๊าซ จะช่วยป้องกันความชื้นและอากาศเข้าไปทำลายรสชาติ ทำให้เมล็ดคงกลิ่นหอมและรสเข้มของกาแฟได้อย่างเต็มที่ การที่ร้านเลือกโชว์เมล็ดที่ดูสะอาดและสดใหม่ ยังสะท้อนความมั่นใจในคุณภาพวัตถุดิบที่ใช้จริง และนอกจากสภาพของเมล็ดแล้ว วิธีการจัดเก็บก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ หากเห็นว่าร้านเก็บเมล็ดไว้ในที่มิดชิด ไม่วางตากแดดหรือใกล้ความร้อน แสดงถึงการดูแลเอาใจใส่ในรายละเอียดที่สำคัญต่อรสชาติของกาแฟ เพราะการเก็บรักษาที่ดีทำให้กาแฟไม่มีกลิ่นอับหรือรสชาติผิดเพี้ยน ในทางกลับกันหากร้านวางเมล็ดในถุงพลาสติกธรรมดาที่เปิดไว้ หรือในที่เสี่ยงต่อความชื้น อาจทำให้คุณภาพกาแฟลดลงทันที ดังนั้นการสังเกตเมล็ดและวิธีเก็บรักษา คือ อีกหนึ่งทริคที่ช่วยให้เราเลือกดื่มกาแฟริมทางได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่าค่ะ 3. ดูฝีมือและท่าทางของบาริสต้า หลายคนยังไม่รู้ว่า บาริสต้าคือผู้กำหนดคุณภาพแก้วกาแฟโดยตรง การสังเกตท่าทางของคนชง มีส่วนช่วยให้เราประเมินได้ว่าร้านนี้ใส่ใจมากน้อยแค่ไหน หากบาริสต้ามีท่าทีคล่องแคล่ว และใช้อุปกรณ์อย่างถูกวิธี เช่น การกดช็อตเอสเปรสโซอย่างสม่ำเสมอ การสตรีมนมโดยควบคุมฟองได้พอดี หรือการตกแต่งแก้วให้ดูเรียบร้อย สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความชำนาญและมาตรฐานที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เราก็จะมั่นใจได้ว่ากาแฟแต่ละแก้วถูกชงด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่เพียงการทำอย่างเร่งรีบนะคะ ในทางกลับกันหากบาริสต้าดูไม่ใส่ใจ เช่น เทส่วนผสมแบบลวกๆ ไม่ทำความสะอาดก้านชงก่อนใช้งาน หรือใช้แก้วโดยไม่ตรวจสอบความสะอาด ก็อาจส่งผลต่อรสชาติและคุณภาพโดยตรง การเลือกดื่มจากร้านที่บาริสต้าทำงานด้วยความละเอียดพิถีพิถัน จะทำให้เรามั่นใจได้ว่ากาแฟที่เสิร์ฟไม่เพียงแต่มีรสชาติดี แต่ยังสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพของร้านนั้นด้วย และนี่เป็นอีกหนึ่งทริคสำคัญที่ช่วยคัดกรองร้านกาแฟริมทางที่น่าเชื่อถือได้จริงค่ะ 4. พิจารณากลิ่นหอมที่โชยออกมา กลิ่นของกาแฟถือเป็นสัญญาณแรกที่สะท้อนถึงคุณภาพของเมล็ดและฝีมือการชง หากร้านใช้เมล็ดที่คั่วสดใหม่และบดในปริมาณที่พอดี เราจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอบอวลที่มีเอกลักษณ์ ที่บางครั้งเป็นโทนถั่วเข้มชัด บางครั้งเป็นกลิ่นผลไม้หรือช็อกโกแลตอ่อนๆ ที่ชวนให้ดื่มทันที ซึ่งกลิ่นเหล่านี้เกิดจากน้ำมันหอมระเหยในเมล็ดกาแฟที่ยังคงอยู่ครบถ้วนค่ะ การที่ร้านสามารถปลดปล่อยกลิ่นออกมาได้ชัดเจน แสดงถึงการเก็บรักษาเมล็ดที่ดีและวิธีการชงที่พิถีพิถัน ซึ่งจะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่ากาแฟที่กำลังจะดื่มมีรสชาติกลมกล่อมตามมาตรฐาน ในทางตรงกันข้ามหากเราเดินผ่านแล้วแทบไม่ได้กลิ่น หรือมีกลิ่นอื่นที่ไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นอับชื้น กลิ่นไหม้ติดเครื่อง หรือกลิ่นอาหารที่ปะปนเข้ามา นั่นบ่งบอกว่ากาแฟไม่ได้สดใหม่ หรือกระบวนการชงยังขาดความใส่ใจ การเลือกใช้กลิ่นเป็นตัวช่วยตัดสินใจจึงเป็นวิธีที่ง่ายแต่ได้ผลจริง เพราะกลิ่นที่ดีไม่ได้เพียงแต่ทำให้เราอยากลิ้มลองเท่านั้นนะคะ แต่ยังสะท้อนถึงคุณภาพในทุกขั้นตอนตั้งแต่เมล็ดจนถึงแก้ว หากกาแฟหอมตั้งแต่แรกสัมผัส ก็มีโอกาสสูงมากที่รสชาติที่ได้ก็จะเต็มไปด้วยความนุ่มลึกและความกลมกล่อมอย่างน่าประทับใจค่ะ 5. ตรวจสอบเมนูและความหลากหลาย รู้ไหมคะว่าร้านกาแฟริมทางที่มีคุณภาพมักจะใส่ใจในการออกแบบเมนูให้หลากหลาย ครอบคลุมทั้งกาแฟร้อน กาแฟเย็น และกาแฟปั่น เพื่อให้ลูกค้าเลือกได้ตามความชอบ การมีเมนูพื้นฐานอย่างเอสเปรสโซ ลาเต้ คาปูชิโน มอคค่า รวมถึงเมนูดัดแปลง เช่น กาแฟใส่น้ำผึ้งหรือนมพิเศษ บ่งบอกว่าร้านตั้งใจตอบโจทย์รสนิยมที่แตกต่างของลูกค้า ความหลากหลายนี้ยังช่วยแสดงว่าร้านมีการเตรียมวัตถุดิบและเครื่องมือพร้อมใช้อยู่เสมอ ไม่ใช่ร้านที่ทำเมนูแบบจำกัดจนสะท้อนถึงความไม่พร้อมหรือขาดมาตรฐาน นอกจากนี้การตรวจสอบเมนูยังทำให้เราเห็นว่า ร้านนั้นมีความสร้างสรรค์และปรับตัวตามเทรนด์ได้หรือไม่ หากร้านมีเมนูพิเศษประจำฤดูกาล เช่น “กาแฟส้มยูซุ” หรือ “ลาเต้ชาเขียวมัทฉะ” แสดงว่าร้านมีการพัฒนาเมนูใหม่ๆ เพื่อตอบสนองลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าร้านไม่ได้หยุดอยู่กับที่ แต่พยายามมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ดื่มเสมอ ในทางกลับกันหากร้านมีเพียงไม่กี่เมนู และชงออกมาแบบขาดคุณภาพ ก็อาจสะท้อนว่าขาดความใส่ใจ การสังเกตเมนูและความหลากหลายจึงเป็นอีกหนึ่งทริค ที่ช่วยตัดสินใจเลือกร้านกาแฟริมทางที่มีคุณภาพจริงๆ ได้ค่ะ 6. สังเกตการเลือกใช้วัตถุดิบเสริม นอกจากเมล็ดกาแฟแล้ว วัตถุดิบเสริมอย่าง นมสด น้ำแข็ง และไซรัป ก็มีผลอย่างยิ่งต่อคุณภาพของกาแฟแก้วหนึ่ง ร้านที่ดีควรเลือกใช้นมสดแท้ ไม่ใช้นมผงเพราะอาจลดทอนรสชาติและความหอมมัน การสังเกตง่ายๆ คือดูจากการเก็บรักษา หากนมถูกเก็บในตู้แช่เย็นสะอาด มีการเปิดใช้อย่างถูกวิธี จะทำให้มั่นใจได้ว่ารสชาติของกาแฟคงที่และปลอดภัย ส่วนเรื่องน้ำแข็งก็ควรใส่ใจไม่แพ้กันค่ะ หากร้านใช้น้ำแข็งก้อนใสสะอาด เก็บในถังปิดมิดชิด ไม่ตั้งตากแดดหรือสัมผัสสิ่งสกปรก ก็เป็นสัญญาณว่าร้านให้ความสำคัญกับสุขอนามัยจริงจัง ขณะเดียวกันไซรัปและส่วนผสมเสริมรสอื่นๆ ก็ควรได้รับการเลือกใช้ที่เหมาะสม หากร้านเลือกไซรัปคุณภาพที่ให้รสหวานละมุน ไม่หวานแหลมเกินไป หรือใช้วัตถุดิบธรรมชาติ เช่น น้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมที่ต้มเอง ก็จะช่วยให้กาแฟมีมิติและรสชาติที่กลมกล่อมขึ้น การที่ร้านให้ความสำคัญกับวัตถุดิบเสริมเหล่านี้สะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียด ที่ไม่ได้เพียงแค่ชงกาแฟให้เสร็จไปหนึ่งแก้ว แต่ตั้งใจสร้างมาตรฐานที่ดีให้ลูกค้าดื่มแล้วอยากกลับมาอีก การเลือกดื่มจากร้านที่ใช้วัตถุดิบเสริมคุณภาพเช่นนี้ จึงทำให้มั่นใจได้ทั้งในเรื่องความอร่อยและความปลอดภัยนะคะ 7. ลองชิมความกลมกล่อมของกาแฟ รสชาติคือบททดสอบที่บอกคุณภาพได้ตรงที่สุดค่ะ เมื่อเราได้ลองดื่มกาแฟจากร้านริมทาง ควรสังเกตว่ากาแฟมีรสกลมกล่อม หอมเข้ม และสมดุลหรือไม่ กาแฟที่ดีไม่ควรขมจนฝืดคอ หรือมีรสชาติอื่นจนเสียสมดุล แต่ควรมีรสเข้มที่พอดี ชวนให้จิบต่อได้เรื่อยๆ หากร้านมีการชงที่ถูกวิธี รสชาติจะออกมาเป็นธรรมชาตินะคะ ที่ไม่ต้องใช้ความหวานหรือไซรัปมากเกินไปกลบรสกาแฟ และเราจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลตั้งแต่จิบแรกจนถึงกลิ่นหอมที่ติดคออย่างละมุน ในบางครั้งการลองกาแฟสักแก้วแรกจากร้านริมทาง ก็เพียงพอแล้วที่จะตัดสินใจได้ว่าร้านนี้คุ้มค่าที่จะกลับมาซ้ำหรือไม่ หากกาแฟมีความสมดุลระหว่างความเข้ม หวาน และกลิ่นหอม แสดงว่าบาริสต้ามีฝีมือและใส่ใจในรายละเอียด แต่หากรสชาติออกมาจืดเหมือนน้ำเปล่า หรือขมไหม้จนกลบทุกความหอม นั่นเป็นสัญญาณว่าร้านใช้เมล็ดที่ไม่สดใหม่หรือวิธีการชงที่ผิด การชิมจึงเป็นเคล็ดลับง่ายๆ ที่ช่วยให้เรามั่นใจว่า ร้านที่เลือกไม่เพียงแต่ดูดี แต่ยังมอบรสชาติที่ตอบโจทย์ความอร่อยได้จริง 8. พิจารณาราคากับปริมาณที่เหมาะสม คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การเลือกซื้อกาแฟริมทางไม่ได้ขึ้นอยู่กับรสชาติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ราคากับปริมาณก็เป็นตัวชี้วัดความคุ้มค่า ร้านที่ดีมักตั้งราคาในระดับสมเหตุสมผล เช่น กาแฟสดแก้วมาตรฐานอยู่ที่ 25–40 บาท แต่ได้รสชาติที่กลมกล่อมและวัตถุดิบคุณภาพ ซึ่งถือว่าคุ้มค่าและน่ากลับไปอุดหนุนซ้ำค่ะ การสังเกตว่าปริมาณที่เสิร์ฟสมดุลกับราคา เช่น แก้วขนาดมาตรฐานที่เต็มแก้ว ไม่ลดทอนคุณภาพเพื่อกดต้นทุน คือสิ่งที่ช่วยให้เรามั่นใจว่าร้านนั้นจริงใจต่อลูกค้านะคะ ในขณะเดียวกันหากร้านตั้งราคาสูงเกินไป แต่ปริมาณที่ได้กลับน้อย หรือรสชาติไม่แตกต่างจากร้านอื่นๆ ก็อาจทำให้รู้สึกไม่คุ้มค่า การพิจารณาราคากับปริมาณจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีการ ที่ช่วยกรองร้านกาแฟที่เราจะเลือกประจำได้ดี เพราะร้านที่ตั้งราคาเหมาะสม มอบรสชาติดี และให้ปริมาณสมดุล มักสะท้อนถึงความซื่อสัตย์และความตั้งใจในการดูแลลูกค้า ทำให้เรามั่นใจได้ว่าทุกแก้วที่จ่ายไปนั้นไม่เสียเปล่า ทั้งในแง่ความอร่อยและความคุ้มค่าค่ะ 9. เลือกจากร้านที่มีลูกค้าประจำ การมีลูกค้าประจำถือเป็นหนึ่งในเครื่องการันตีคุณภาพที่ดีที่สุดค่ะ หากเราสังเกตว่าร้านกาแฟริมทางมีผู้คนแวะเวียนมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง ทั้งตอนเช้าไปทำงานหรือช่วงบ่ายที่พักเบรก นั่นสะท้อนว่าร้านสามารถรักษารสชาติและมาตรฐานได้คงที่ การที่คนในพื้นที่เลือกซื้อซ้ำทุกวัน ยังแสดงว่าราคากับคุณภาพอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล และมีการบริการก็เป็นมิตร จนทำให้ลูกค้ารู้สึกอยากกลับมาอีก ซึ่งร้านที่มีฐานลูกค้าประจำมักให้ความสำคัญกับความต่อเนื่อง ทั้งด้านวัตถุดิบและการเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในทางกลับกันหากเราเจอร้านที่ไม่ค่อยมีลูกค้า หรือเห็นว่าลูกค้ามาซื้อครั้งเดียวแล้วหายไป สะท้อนว่ากาแฟไม่อร่อยสม่ำเสมอ หรือการบริการยังไม่น่าประทับใจ การเลือกจากจำนวนลูกค้าประจำ ยังช่วยบอกถึงความสดใหม่ของวัตถุดิบ เพราะร้านที่ขายได้ทุกวันย่อมมีการหมุนเวียนกาแฟ นม และน้ำแข็งอย่างสม่ำเสมอ ลดโอกาสที่วัตถุดิบค้างจนเสียรสชาติได้ การพิจารณาจากความนิยมของร้านในหมู่ลูกค้า จึงเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่ง่าย แต่ช่วยให้เรามั่นใจว่ากาแฟที่เลือกทั้งอร่อย ปลอดภัย และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปจริงๆ ค่ะ และนั่นคือเคล็ดลับง่ายๆ เลือกร้านกาแฟริมทางนะคะ จะเห็นได้ว่าการเลือกร้านกาแฟสดริมทางที่ดีเป็นมากกว่าการมองหาความอร่อยค่ะ เพราะกาแฟหนึ่งแก้วคือสิ่งที่เข้าสู่ร่างกายโดยตรง ความสะอาด ความสดใหม่ และความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ล้วนมีความสำคัญ หากเราหมั่นสังเกตตั้งแต่การจัดวางร้าน บรรยากาศรอบๆ เมล็ดกาแฟที่ถูกเก็บรักษาอย่างถูกวิธี จนถึงกลิ่นหอมที่โชยออกมา สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณบอกคุณภาพที่ไม่ควรมองข้าม เมื่อใส่ใจรายละเอียดก่อนเลือกซื้อ เราจะมั่นใจได้มากขึ้นว่ากาแฟแก้วนั้นไม่เพียงแต่อร่อย แต่ยังปลอดภัยและได้มาตรฐานด้านสุขอนามัยอีกด้วย ซึ่งนอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว การสังเกตฝีมือและท่าทางของบาริสต้าก็ช่วยให้เราเห็นความเป็นมืออาชีพได้อย่างชัดเจน รวมถึงการตรวจสอบเมนูที่มีความหลากหลาย วัตถุดิบเสริมที่ใช้ และรสชาติที่คุณได้ลองชิมด้วยตนเอง ล้วนสะท้อนคุณภาพที่แท้จริง การพิจารณาราคากับปริมาณให้สมเหตุสมผล รวมถึงการสังเกตร้านที่มีลูกค้าประจำต่อเนื่อง ยังเป็นตัวช่วยชี้ชัดว่าร้านนั้นได้รับความเชื่อถือและรักษามาตรฐานได้ดี การใช้หลายเกณฑ์ประกอบกันจะช่วยให้การเลือกกาแฟริมทางไม่ใช่การเสี่ยงดวง แต่เป็นการเลือกอย่างมีเหตุผลและคุ้มค่าค่ะ ที่ท้ายที่สุดแล้วการเลือกดื่มกาแฟไม่ควรอาศัยเพียงความคุ้นเคยหรือความสะดวกเท่านั้นนะคะ แต่ควรพิจารณาทั้งคุณภาพ ความปลอดภัย และความพึงพอใจที่ได้รับจากการชงแต่ละแก้ว ซึ่งการนำ 9 ทริคไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน จะทำให้เราเป็นผู้บริโภคที่รอบคอบ รู้จักเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง และยังช่วยสนับสนุนร้านที่รักษามาตรฐานและใส่ใจในคุณภาพอย่างแท้จริงด้วย ทำให้ทุกครั้งที่เรายกกาแฟขึ้นดื่ม จึงไม่ใช่เพียงการเติมพลังในแต่ละวัน แต่ยังเป็นการเลือกสุขอนามัย ความคุ้มค่า และความสุขใจที่ควบคู่กันไปในทุกแก้วค่ะ สำหรับผู้เขียนนั้น จริงๆ ต้องบอกว่าไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มประเภทกาแฟบ่อยค่ะ เพราะส่วนมากจะสั่งเมนูทางเลือกจากร้านกาแฟสดริมทาง โดยชาเขียวนมสดหวานน้อยคือเมนูประจำที่สั่ง ซึ่งเคล็ดลับทั้ง 9 ข้อข้างต้นนั้น ถือเป็นตัวช่วยที่ดีมากๆ ค่ะ ทำให้การเลือกร้านกาแฟสดที่ขายริมทางง่ายขึ้นมาก และก็ไปเจอร้านที่ใช่ ที่พบว่าในชุมชนของผู้เขียนเองมีร้านที่ดีอยู่ร้านหนึ่งชื่อว่า “ซาเล้งCoffee" โดยร้านนี้เขาเป็นแบบ Mokapot Slow Bar ค่ะ ซึ่งความหมายของคำนี้ก็มีความน่าสนใจมากๆ นะคะ ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน โดยร้านนี้มีอุปกรณ์ทำกาแฟแบบตั้งเตาที่ใช้ไอน้ำ และใช้แรงดันให้ดันน้ำร้อนไปผ่านผงกาแฟจนไหลออกมาเป็นกาแฟเข้มข้นค่ะ เหมือนสไตล์เอสเพรสโซ แต่มีแรงดันต่ำกว่า และแนวคิดของร้านกาแฟริมทางร้านนี้ คือ การให้ความสำคัญกับการชงกาแฟแบบช้าๆ ที่ใส่ใจในทุกขั้นตอน จะว่าเป็นร้านที่เน้นการมอบประสบการณ์ดื่มกาแฟที่ตั้งใจแบบค่อยเป็นค่อยไป และเน้นรสชาติที่พิถีพิถันก็ได้ค่ะ ที่ในตอนหลังมาหากมีโอกาสผู้เขียนก็ผ่านไปอุดหนุนเรื่อยๆ ค่ะ ชาเขียวนมสดแก้วละ 40 บาท และหากมีใจรักสิ่งแวดล้อม ทางร้านยังมีนโยบายให้นำแก้วส่วนตัวมาใส่เครื่องดื่มได้ด้วยนะคะ ก็ต้องบอกว่าร้านนี้ควรค่าแก่การไปลองจริงๆ ค่ะ เพราะความเป็นเอกลักษณ์และความใส่ใจในทุกขั้นตอนการทำกาแฟสด เป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากร้านทั่วไป ฝีมือและประสบการณ์ของเจ้าของร้านก็สะท้อนออกมาผ่านทุกแก้วที่เสิร์ฟ ทั้งการเลือกเมล็ดกาแฟคุณภาพ เห็นว่ามีเมล็ดกาแฟขายาด้วย ฝีมือการชงที่พิถีพิถัน ไปจนถึงบรรยากาศที่ชวนผ่อนคลาย ทำให้กาแฟที่นี่มีรสชาติและความรู้สึกเฉพาะตัวที่แตกต่างไม่ซ้ำใคร หากคุณผู้อ่านกำลังมองหาสถานที่ที่จะได้สัมผัสทั้งรสชาติและความตั้งใจจริงๆ ของคนทำกาแฟ ร้านนี้คือคำตอบที่ไม่ควรพลาดเลยค่ะ ยังไงนั้นก็อย่าลืมจอดสั่งกาแฟหรือเมนูอื่นๆ ที่ชอบกันนะคะ และด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากคุณผู้อ่านชื่นชอบเนื้อหาแนวนี้ อย่าลืมกดติดตามหรือบันทึกโปรไฟล์ไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดข้อมูลใหม่ๆ ในบทความถัดไป หากสนใจอ่านบทความทั้งหมดของผู้เขียน ก็สามารถกดเข้าไปดูได้จากโปรไฟล์เช่นกันค่ะ #ร้านกาแฟใกล้ฉัน #กาแฟสดริมทาง #ซาเล้งCoffee #ความปลอดภัยในอาหาร #FoodSafety เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปกและออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 9 ทริคเลือกเฉาก๊วยอร่อย เหนียวนุ่ม หนึบหนับ ไม่หวานเลี่ยน 8 วิธีลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ทำยังไงดี ดื่มเหล้าน้อยลง สมูทตี้สับปะรด สั่งแบบไหน รสชาติอร่อย เปรี้ยวอมหวาน หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !