ไข่เยี่ยวม้า หนึ่งในอาหารที่ใครๆ หลายคนต้องรู้สึกฉงนกับชื่อเพราะเวลาฟังนั้นช่างละม้ายคล้ายกับว่าเป็นการนำเอาไข่ไปแช่ไว้ในฉี่ของม้า (จริงไหม?) แถมสีของไข่เยี่ยวม้ายังดูดำขลับแปลกตาไปกว่าไข่ชนิดไหนๆ วันนี้เราเลยอยากขอรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับไข่เยี่ยวม้ามาฝากเพื่อนๆ สายกินทุกคนกัน ไข่เยี่ยวม้าทำมาจากอะไร ไข่เยี่ยวม้าต้องต้มไหม? มาดูกันได้เลยจ้า ประวัติหลายร้อยปีของไข่เยี่ยวม้าไข่เยี่ยวม้ามาจากไหน มีประวัติความเป็นมาอย่างไร? สำหรับไข่เยี่ยวม้านั้นมีเรื่องเล่ามาว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีนในช่วงสมัยราชวงศ์หมิง โดยชาวบ้านได้บังเอิญพบว่าไข่ที่ถูกแช่อยู่ในบ่อปูนนานหลายเดือนนั้นมีสี เนื้อสัมผัสและรสชาติที่แปลกไป สามารถเอามารับประทานหรือประกอบเมนูอาหารได้ ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาวิธีการหมักไข่เยี่ยวม้าขึ้นในท้ายที่สุด ทำไมชื่อไข่เยี่ยวม้า? ว่ากันว่าชื่อไขเยี่ยวม้านั้นเพี้ยนมาจากคำว่า เฮวี่ยวเม่า (Hue Mao) ในภาษาจีนฮกเกี้ยนที่แปลว่าการห่อหรือการหักด้วยขี้เถ้า ไข่ห่อขี้เถ้า พอเรียกคำว่าเฮวี่ยวเม่านานๆ ไป เลยกลายเป็นชื่อเรียกที่พูดคล่องปากว่าไข่เยี่ยวม้าจนติดปากคนไทยในท้ายที่สุดนั่นเองล่ะ นอกไปจากตำนานของชื่อนี้บ้างก็ยังว่าชื่อไข่เยี่ยวม้านั้นได้มาเพราะกลิ่นของไข่เยี่ยวม้าที่ออกฉุนๆ คล้ายกลิ่นของปัสสาวะ ไข่เยี่ยวม้าทำยังไง?วิธีการทำไข่เยี่ยวม้า นั้นเริ่มจากการเอาไข่มาล้างทำความสะอาดแล้วซับให้แห้ง จากนั้นนำไปหมักในขี้เถ้าหรือแกลบต้มที่มีส่วนผสมของปูนขาว (เพื่อเพิ่มสภาพความเป็นด่าง) น้ำจากใบชาและเกลือ โดยพอกให้ทั่วทั้งใบ (คล้ายกับการหมักไข่เค็ม) อาจคลุกแกลบเพิ่มในตอนท้ายจากนั้นให้หมักทิ้งไว้ประมาณ 30-45 วัน โดยควรเก็บไข่ที่หมักในภาชนะที่มีฝาปิดและวางไว้ในที่ที่มีแสงน้อย ไข่เยี่ยวม้าทำมาจากไข่ชนิดไหน?โดยส่วนใหญ่จะนิยมใช้ไข่เป็ดมาหมักเพื่อทำไข่เยี่ยวม้าค่ะ แต่ทั้งนี้ก็สามารถใช้ไข่ไก่หรือไข่นกกระทามาทำไข่เยี่ยวม้าได้เหมือนกัน ทำไมไข่เยี่ยวม้าเป็นสีชมพูเคยสงสัยไหมคะว่าทำไมไข่เยี่ยวม้าต้องเป็นสีชมพู? ตอนแรกเราเข้าใจว่าเพื่อทำให้แยกออกได้ว่าเป็นไข่เยี่ยวม้า หรือไม่ก็ทำเพื่อความสวยงาม แต่สีเหล่านี้ของไข่เยี่ยวม้ามีเหตุผลอยู่ค่ะเนื่องจากในกระบวนการหมักเพื่อทำให้ค่าความเป็นด่างซึมเข้าที่รูเล็กๆ บนเปลือกไข่และเกิดปฏิกิริยาเคมีจนไข่ด้านในเปลี่ยนสภาพ ตัวเปลือกไข่ด้านนอกเองก็เริ่มมีรูพรุนเล็กๆ ซึ่งหากเราล้างเอาขี้แกลบที่หมักไว้ออกก็อาจทำให้เสียค่าสมดุล pH ได้ ดังนั้นแล้วเพื่อทำให้สามารถเก็บไข่เยี่ยวม้าไว้ได้นานๆ ผู้ผลิตจึงใช้สีมาทาทับเอาไว้เพื่อช่วยรักษาค่า pH ให้คงที่นั่นเองค่ะ ส่วนต่อมาภายหลังก็มีการเปลี่ยนจากสีชมพูไปใช้สีส้ม สีฟ้า สีเหลือง ที่แปลกกันออกไป ไข่เยี่ยวม้าต้องเอามาต้มสุกไหม?ไข่เยี่ยวม้าสามารถทานดิบได้เลยค่ะนั่นเป็นเพราะในกระบวนการหมักจะใช้น้ำหมักที่ต้มสุกมาก่อนแล้วและนอกจากนี้ในกระบวนการหมักไข่เยี่ยวม้าเป็นเวลา 30-45 วัน ก็จะเป็นการฆ่าเชื้อโรคที่มีให้ตายไปในตัว แต่ทั้งถ้าใครอยากเอาไปต้ม ผัด ทอดที่ต้องผ่านความร้อนก่อนก็สามารถทำได้เพื่อความมั่นใจยิ่งกว่าของตัวเราเอง ส่วนตัวเราก็ชอบกินไข่เยี่ยวม้าดิบโดยเอามาทำน้ำยำแซ่บๆ ราดลงไป หรือจะเป็นเมนูกะเพราไข่เยี่ยวม้าที่เอาไข่เยี่ยวม้าไปทอดก่อนแล้วเอามาผัดกับใบกะเพราะก็ช่วยทำให้เรามั่นใจในเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น แถมกลิ่นของใบกะเพราะยังช่วยกลบกลิ่นแปลกๆ ของไข่เยี่ยวม้าให้น้อยลงเหมาะกับคนที่ทนกลิ่นไข่เยี่ยวม้าไม่ค่อยได้ เรื่องที่ต้องระวังเกี่ยวกับการกินไข่เยี่ยวม้าสิ่งที่ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับการกินไข่เยี่ยวม้าคือปริมาณโซเดียมที่แฝงมาในไข่เยี่ยวม้า โดยไข่เยี่ยวม้า 1 ฟองมีโซเดียมประมาณ 280 มิลลิกรัม นอกจากนี้ไข่เยี่ยวม้าที่ไม่ได้มาตรฐานก็อาจมีการปนเปื้อนของสารตะกั่วได้เพราะฉะนั้นแล้วควรเลือกซื้อไข่เยี่ยวม้าจากแหล่งผลิตที่มีความน่าเชื่อถือ สะอาด ปลอดภัย สดใหม่เท่านั้นและนี่ก็เป็นข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับไข่เยี่ยวม้าที่เราขอรวบรวมมาฝากเพื่อนๆ นักกินกัน เมนูจากไข่เยี่ยวม้าเมนูโปรดของคุณคือเมนูไหนมาแชร์กันได้นะคะภาพหน้าปก ออกแบบโดย ผู้เขียน ภาพที่1 โดย chengyuzheng แต่งด้วย canvaภาพในเนื้อหา ภาพที่1,4 โดย ผู้เขียน / ภาพที่2 โดย Vladimir Mironov ภาพที่3 โดย dornsay จาก canvaเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !