สวัสดีครับเพื่อน ๆ ทุกคน ชอบดื่มชากันไหมครับ? ผมคือคนหนึ่งที่ชอบดื่ม และชงชาดื่มเอง ซึ่งทุกคนล้วนรู้จักชากันใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะเป็น ชานมเย็น ชาดำเย็น ชาเขียว ชาส้ม ชาเหลือง ชาแดง ชาดำ และอีกสารพัดชามากมายบนโลกนี้ แต่ทุกคนรู้กันไหมว่าชานี้สามารถแบ่งได้กี่ประเภท แล้วเขาใช้หลักเกณฑ์อะไรในการแบ่งนะ? ประเภทของชา ประเภทของชาสามารถแบ่งได้หลากหลายรูปแบบ แต่ในที่นี้เราจะแบ่งประเภทของชาให้เห็นกันอย่างกว้างๆ เข้าใจง่ายและทุกคนรู้จักกันดี เพราะในชาแต่ละชนิดยังสามารถแยกย่อยได้อีกมากมาย “ชา” ถูกจัดประเภทตามกระบวนการแปรรูป หลังจากการเก็บเกี่ยวใบของต้นชาจะถูกทิ้งให้สลด และ "หมัก" ทำให้ชา “ช้ำ” โดยการทำให้ช้ำมีหลากหลายรูปแบบ เช่น ใช้ความร้อนหรือทำให้ใบทับกัน ทำให้เอนไซม์(enzyme) ในใบชาเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น(oxidation) กับออกซิเจนในอากาศ ใบชาจะมีสีเข้มขึ้น คลอโรฟิลล์ในใบชาจะแตกตัวกลายเป็นสารแทนนิน(tannin) ที่มีสถานะเป็นกรดอ่อนและมีรสฝาด ต่อจากนั้นฆ่าเอนไซม์เพื่อหยุดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นโดยการใช้ความร้อน เช่น คั่วไฟ ทอดกระทะ อบควัน หรือว่าปิ้ง เพื่อให้เก็บรักษาได้นาน และก็เป็นวิธีการที่ทำให้เกิดกลิ่นต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไปอีกด้วย ชาสามารถจัดประเภทตามกระบวนการแปรรูปชา ได้ดังนี้ต่อไปนี้ ชาที่ไม่ผ่านกระบวนการหมัก (โดยจะยกตัวอย่างเป็น “ชาเขียว”) ชาเขียว(green tea) เป็นชาที่ไม่ผ่านกระบวนการหมัก โดยการนำยอดอ่อนของชาไปอบหรือคั่วให้แห้งทันที ซึ่งจะไม่การนวดหรือหมัก จึงทำให้ใบชายังคงสีเขียวรสชาติใกล้เคียงใบชาธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่น ชาเขียวมีสาร epigallocatechin gallate (EGCG) ที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(antioxidant) สามารถกวาดล้างอนุมูลอิสระที่เป็นตัวกัดกร่อน DNA ในกระแสเลือดลงได้ ช่วยป้องกันความเสื่อมสภาพของเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย ช่วยให้ชะลอความแก่ชราได้ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลตัวร้าย LDL (low-density lipoprotein) เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลตัวดี HDL (high-density lipoprotein) ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้าอยากดื่มชาเขียวให้เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดต้องดื่มชาเขียวเปล่า ๆ ไม่ผสมอย่างอื่น เช่น นม เพราะนมจะทำให้สารที่เราต้องการลดลงหายไป ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ ชาที่ผ่านกระบวนการหมัก (โดยจะยกตัวอย่างเป็น “ชาดำ”) ชาดำ(black tea) เป็นชาที่ผ่านกระบวนการหมัก โดยนำยอดอ่อนของชามานวดอย่างเต็มที่ แล้วมาหมักจนได้กลิ่นหอม จากนั้นนำมาทำให้แห้งโดยการอบ ชาดำเป็นชาที่มีกระบวนการหมักที่ยาวนานมากกว่าชาอู่หลง และชาเขียว ทำให้ชาดำมีรสชาติที่เข้มข้นที่สุดจากประเภทของชาทั้งหมด ชาดำมี monoterpene alcohols ซึ่งเป็นสารที่ให้กลิ่นที่มีมากกว่าชาเขียว ด้วยเหตุนี้ทำให้มีผู้นิยมกลิ่นของชาดำมากกว่า ชาดำช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เนื่องจากชาดำสามารถขจัดสารที่ทำให้เกิดเนื้องอกหรือมะเร็งออกไปได้ โดยเฉพาะมะเร็งปอด ปาก หน้าอก ท้อง ลำไส้ใหญ่ หลอดอาหาร และผิวหนัง ชาที่ผ่านกระบวนการหมักแบบกึ่งหมัก (โดยจะยกตัวอย่างเป็น “ชาอู่หลง”) ชาอู่หลง(Oolong tea) เป็นชาที่ผ่านกระบวนการหมักแบบกึ่งหมัก โดยการนำยอดอ่อนของชามานวดให้ผิวช้ำเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นสารแทนนินให้ออกมามากขึ้น จากนั้นอบให้แห้งทันที ชาวจีนเชื่อว่าใบชามีสารบางอย่างที่มีสรรพคุณในการชะล้างไขมัน กลิ่นคาว และเมือกต่างๆได้ จึงนิยมดื่มชาหลังจากทานอาหารมัน ๆ เพื่อแก้เลี้ยน แม้กระทั้งกากชาที่ชงแล้วยังนำไปใช้ล้างถ้วยล้างชามล้างภาชนะที่มีคราบมันได้ดี ในคนที่มีอาการท้องเสียควรดื่มชา 1-2 แก้วต่อวัน เนื่องจากสารแทนนินในชามีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียได้ จะช่วยล้างชำระล้างเชื้อโรค สิ่งสกปรกในกระเพาะอาหารและลำไส้ หลังจากนั้นอาการท้องเสียจะเริ่มทุเลาลง ถ้าจะใช้ชาบรรเทาอาการท้องเสียควรต้มชานาน ๆ ให้รสฝาดออกมามากที่สุด ทำให้บรรเทาอาการท้องเสียได้เป็นอย่างดี เป็นอย่างไรบ้างครับทุกคน นี่เป็นการแยกประเภทของ "ชา" รูปแบบหนึ่งที่ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย และเห็นคุณประโยชน์ของชาคร่าว ๆ แล้วนะครับ ยังมีเรื่องราวของชาที่น่าสนใจและน่าติดตามอีกมากมาย ถ้ามีโอกาสจะทำเรื่องราวเกี่ยวกับชาอีกนะครับ สุดท้ายนี้กระผมขอขอบคุณทุกท่านที่สนับสนุน สวัสดีครับ -/\- ขอบคุณภาพปกจาก https://pixabay.com / ภาพที่ 1 ขอบคุณ https://pixabay.com / ภาพที่ 2 ขอบคุณ https://pixabay.com / ภาพที่ 3 ขอบคุณ https://commons.wikimedia.org / ภาพที่ 4 ขอบคุณ https://pixabay.com / ภาพที่ 5 ขอบคุณ https://pixabay.com / ภาพที่ 6 ขอบคุณ https://pixabay.com / ภาพที่ 7 ขอบคุณ https://pixabay.com / ภาพที่ 8 ขอบคุณ https://pixabay.com / ภาพที่ 9 ขอบคุณ https://pixabay.com