11 ตัวอย่างผักที่มีรสขม มีอะไรบ้าง หาได้ทั่วไป | บทความโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ผักที่มีรสขมอาจไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง แต่สำหรับบางคนถามหาแต่ผักขมๆ โดยมีคำพูดหนึ่งที่มักพูดแซวกันว่า ถ้าใครทานผักที่มีรสขมแล้วไม่ขม แสดงว่าเป็นสูงวัย ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้มีโอกาสเห็นมานั้น ต่อให้จะเป็นวัยรุ่น คนหนุ่มสาวหรือผู้สูงอายุ เจอผักขมเข้าไป ประมาณ 99% จอดสนิทค่ะ ดังนั้นอายุไม่เกี่ยว แต่สิ่งที่เกี่ยวว่าขมมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับส่วนของผักชนิดนั้นที่เราทานเข้าไปค่ะ เพราะจากที่ผู้เขียนได้รู้มานั้น ความขมตามธรรมชาติของพืชในแต่ละส่วนแตกต่างกันไป ซึ่งผักที่มีความขมพอนำไปวางปะปนกับผักที่ไม่ขม คนที่ไม่รู้และอยากทานผักมักจะถามเสมอว่า “ผักนี้ขมไหม ” จริงไหมคะ? ดังนั้นเพื่อไม่ให้ใครมาหลอกเราให้ทานผักขมๆ แบบไม่ทันตั้งตัว ในบทความนี้เราจะมารู้กันว่า ผักขมแล้วขมเลย ขมจริงขมจัง ขมๆ มีชื่อว่าอะไรกันบ้าง ส่วนไหนทานแล้วจะขมน้อย ส่วนไหนขมมากแบบไม่จกตา ทั้งหมดได้รวบรวมมาให้ได้อ่านกันแล้วค่ะ ดังนั้นอย่าช้าที่จะอ่านให้จบ กับ 11 ผักทานแล้วขมๆ ดังต่อไปนี้ 1. มะระขี้นก รสขมของมะระขี้นกเป็นรสชาติที่แตกต่างจากผักชนิดอื่นค่ะ ทำให้หลายคนชอบรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์นี้ ซึ่งรสขมนี้กระจายอยู่ทั่วทั้งผล แต่จะมีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละส่วนค่ะ ส่วนที่มักจะมีรสขมเข้มข้นที่สุดคือ ส่วนเยื่อสีขาวที่ติดอยู่กับเมล็ดมะระขี้นก หากต้องการลดความขมในการประกอบอาหาร ควรคว้านส่วนนี้ทิ้งให้หมด เปลือกของมะระขี้นกก็มีรสขมเช่นกัน แต่โดยทั่วไปแล้วจะขมน้อยกว่าส่วนอื่นๆ ค่ะ แม้มะระขี้นกจะมีรสขม แต่ก็สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู โดยเมนูที่เราเห็นบ่อยๆ น่าจะเป็นมะระขี้นกลวกจิ้มน้ำพริกค่ะ 2. มะระจีน มะระจีนเป็นพืชที่มีรสขมเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งรสขมนี้กระจายอยู่ทั่วทั้งผล แต่จะมีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละส่วนค่ะ โดยส่วนที่ติดอยู่กับเมล็ดมะระจีน เป็นส่วนที่มีรสขมเข้มข้นที่สุด และถึงแม้มะระจีนจะมีรสขม แต่หลายคนก็ชื่นชอบรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์นี้ค่ะ ซึ่งมะระจีนสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลาย เช่น ผัดมะระจีนใส่ไข่ แกงจืดมะระจีนยัดไส้หมูสับ มะระจีนผัดกะปิ เป็นต้น 3. ผักกูด ความขมในผักกูดมักจะอยู่ที่เส้นกลางใบและก้านใบค่ะ โดยเฉพาะส่วนที่แก่หรือเส้นที่แข็งแรงจะยิ่งมีรสขมมากขึ้น ผักกูดมีสารประกอบบางชนิดที่ให้รสขม ผักกูดที่แก่จะมีรสขมมากกว่าผักกูดอ่อน ผักกูดแต่ละชนิดจะมีระดับความขมแตกต่างกันไป ยอดอ่อนจะมีรสชาติหวานกรอบ และมีรสขมน้อยกว่าส่วนอื่นๆ ก่อนนำผักกูดไปปรุงอาหาร ควรลวกในน้ำเดือดสักครู่ เพื่อลดความขม แช่ผักกูดในน้ำเกลือสักพักก่อนนำไปปรุงอาหาร จะช่วยลดความขมได้ค่ะ ส่วนใหญ่แล้วนิยมนำยอดอ่อนของผักกูดมาประกอบอาหาร เพราะมีรสชาติหวานกรอบ และมีรสขมน้อยที่สุด และสามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น ยำผักกูด ผัดผักกูดใส่หมูสับ แกงส้มผักกูด เป็นต้น 4. ใบบัวบก โดยทั่วไปแล้วความขมของใบบัวบกจะกระจายอยู่ทั่วทั้งใบ แต่จะมีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละส่วน ใบอ่อนมักจะมีรสชาติที่อ่อนโยนกว่าใบแก่ ซึ่งใบแก่จะมีสารประกอบที่ให้รสขมเข้มข้นมากกว่า เส้นกลางใบและก้านใบมักจะมีรสขมมากกว่าส่วนอื่นๆ ของใบ สภาพดิน น้ำ และอากาศที่ใบบัวบกเจริญเติบโตก็มีผลต่อรสชาติเช่นกัน ส่วนที่เป็นแผ่นใบโดยทั่วไปจะมีรสขมปานกลาง ยิ่งใกล้เส้นกลางใบก็จะยิ่งมีความขมมากขึ้น ก้านใบมักจะมีรสขมมากกว่าแผ่นใบ โดยเฉพาะบริเวณที่ต่อกับลำต้น รากของบัวบกก็มีรสขมเช่นกันค่ะ 5. ผักก้านจอง ความขมของผักก้านจองนั้นเป็นเอกลักษณ์ที่หลายคนชื่นชอบนะคะ ซึ่งส่วนใหญ่ความขมจะกระจุกตัวอยู่ที่ เส้นกลางใบและก้าน ค่ะ ยิ่งเป็นส่วนที่แก่หรือเส้นที่แข็งแรง รสขมก็จะยิ่งเข้มข้นขึ้น ยอดอ่อนจะมีรสชาติหวานกรอบ และมีรสขมน้อยกว่าส่วนอื่นๆ การนำผักก้านจองไปผสมกับวัตถุดิบอื่นๆ ที่มีรสชาติกลมกล่อม เช่น กระเทียม พริก หรือน้ำปลา จะช่วยลดความขมลงได้ ควรลวกในน้ำเดือดสักครู่ เพื่อลดความขม ถึงแม้ผักก้านจองจะมีรสขม แต่ถ้าเราเลือกส่วนที่เหมาะสมและมีวิธีการปรุงอาหารที่ถูกต้อง ก็จะสามารถรับประทานผักก้านจองได้อย่างอร่อยค่ะ 6. ผักขี้เหล็ก ผักขี้เหล็กเป็นพืชผักที่มีรสชาติขมเป็นเอกลักษณ์ โดยทั่วไปแล้วทุกส่วนของผักขี้เหล็กจะมีรสขม แต่ความเข้มข้นของรสขมจะแตกต่างกันไปตามอายุของส่วนนั้นๆ และพันธุ์ของผักขี้เหล็กค่ะ ใบอ่อนจะมีรสขมน้อยกว่าใบแก่ โดยเฉพาะใบที่อยู่ปลายยอดจะมีรสขมน้อยที่สุด ดอกขี้เหล็กจะมีรสขมมากกว่าใบเล็กน้อย ฝักอ่อนจะมีรสขมน้อยกว่าฝักแก่ และวิธีลดความขมของผักขี้เหล็ก ได้แก่ เลือกยอดอ่อน: ยอดอ่อนจะมีรสขมน้อยที่สุด ต้ม: ก่อนนำไปปรุงอาหาร ควรต้มในน้ำเดือดสักครู่ เพื่อลดความขม แช่น้ำเกลือ: แช่ผักขี้เหล็กในน้ำเกลือสักพักก่อนนำไปปรุงอาหาร จะช่วยลดความขมได้ ผสมกับวัตถุดิบอื่นๆ: การนำผักขี้เหล็กไปผสมกับวัตถุดิบอื่นๆ ที่มีรสชาติกลมกล่อม เช่น กระเทียม พริก หรือน้ำปลา จะช่วยลดความขมลงได้ค่ะ ต้มกับมะเขือพวง: มะเขือพวงจะช่วยดูดซับความขมของผักขี้เหล็กได้นะคะ 7. หน่อไม้ ไผ่แต่ละชนิดจะมีปริมาณสารที่ทำให้ขมแตกต่างกันไป หน่อไม้จากไผ่บางชนิดจะมีรสขมมากกว่าชนิดอื่น หน่อไม้ที่แก่จัดจะมีรสขมมากกว่าหน่อไม้ที่อ่อน หน่อไม้ที่เกิดในช่วงฤดูฝนจะมีรสขมมากกว่าหน่อไม้ที่เกิดในช่วงฤดูร้อน การเก็บรักษาหน่อไม้ที่ไม่ถูกวิธี เช่น เก็บในที่อุณหภูมิสูง จะทำให้รสขมเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปแล้วทุกส่วนของหน่อไม้จะมีรสขม แต่ความเข้มข้นของรสขมจะแตกต่างกันไป โดยเฉพาะบริเวณแกนกลางและส่วนโคนของหน่อไม้จะมีรสขมมากกว่าส่วนอื่นๆ หน่อไม้ที่อ่อนจะมีรสขมน้อยกว่าหน่อไม้แก่ การต้มหน่อไม้จะช่วยลดความขมได้ โดยควรต้มหลายน้ำ หรือใส่ส่วนผสมที่ช่วยลดความขม เช่น มะเขือพวง ใบเตย หรือรำข้าว การแช่น้ำเกลือจะช่วยดึงรสขมออกจากหน่อไม้ได้ค่ะ การหมักหน่อไม้จะช่วยเปลี่ยนแปลงรสชาติของหน่อไม้ให้มีรสชาติที่นุ่มนวลขึ้น 8. ใบยอ ใบยอเป็นพืชสมุนไพรที่มีรสชาติขมเป็นเอกลักษณ์ โดยทั่วไปแล้วทุกส่วนของใบยอจะมีรสขม แต่ความเข้มข้นของรสขมจะแตกต่างกันไปตามอายุของส่วนนั้นๆ ค่ะ ใบอ่อนจะมีรสขมน้อยกว่าใบแก่ โดยเฉพาะใบที่อยู่ปลายยอดจะมีรสขมน้อยที่สุด รากของยอจะมีรสขมมากที่สุด การนำใบยอไปปรุงอาหารให้สุก มีส่วนช่วยลดความขมลงได้ค่ะ 9. ผักกาดหิ่น ผักกาดหิ่นเป็นผักพื้นบ้านที่มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น นอกจากชื่อ "ผักกาดหิ่น" แล้ว ยังมีชื่อเรียกอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น ผักกาดสร้อย ผักกาดนา ผักกาดขม ผักกาดขื่น ผักชุนฉ่าย เป็นต้น ผักกาดหิ่นแต่ละสายพันธุ์จะมีปริมาณสารที่ทำให้ขมแตกต่างกันไป บางสายพันธุ์จะมีรสขมมากกว่าสายพันธุ์อื่น ใบแก่จะมีรสขมมากกว่าใบอ่อน สภาพน้ำและดินที่ผักกาดหิ่นเจริญเติบโตก็มีผลต่อรสชาติค่ะ ทุกส่วนของผักกาดหิ่นจะมีรสขม แต่ความเข้มข้นของรสขมจะแตกต่างกันไป โดยเฉพาะบริเวณเส้นกลางใบและก้านใบจะมีรสขมมากกว่าส่วนอื่นๆ 10. มะเขือขื่น มะเขือขื่นเป็นพืชผักที่มีรสชาติโดดเด่นด้วยความขม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากพืชผักชนิดอื่นๆ มะเขือขื่นผลอ่อนจะมีรสขมน้อยกว่าผลแก่ แช่มะเขือขื่นในน้ำเกลือสักครู่ก่อนนำไปปรุงอาหารจะช่วยลดความขมได้ การดองมะเขือขื่นก็มีส่วนช่วยลดความขมตามธรรมชาติได้ค่ะ การต้มมะเขือขื่นนานๆ จะช่วยลดความขม ในภาคอีสานนิยมนำมะเขือขื่นมาใส่ในส้มตำ เพื่อเพิ่มรสชาติที่ขมนิดๆ 11. สะเดา คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า โดยใบสะเดามีความขมมากที่สุด และดอกสะเดาถือว่ามีรสขมพอสมควรเลยค่ะ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นดอกอ่อนหรือดอกตูม จะมีรสขมเข้มข้นกว่าส่วนอื่นๆ ของต้นสะเดา ซึ่งการลวกดอกสะเดาในน้ำเดือดสักครู่จะช่วยลดความขมลงได้บ้าง และการแช่ดอกสะเดาในน้ำเกลือสักพักก่อนนำไปประกอบอาหารจะช่วยลดความขมได้อีกเช่นเดียวกันค่ะ รวมไปถึงการนำดอกสะเดามาผสมกับวัตถุดิบอื่นๆ ที่มีรสชาติกลมกล่อม เช่น น้ำปลาหวาน หรือน้ำพริก จะช่วยลดความขมลงได้ เป็นยังไงกันบ้างค่ะ กับตัวอย่างของผักที่มีรสขม ที่เป็นรสชาติตามธรรมชาติของผักแต่ละชนิดเขาเลย โดยผักขมทั้งหมดที่ผู้เขียนได้พูดถึงนั้น ส่วนตัวมีโอกาสได้ลิ้มลองความขมมาครบหมดแล้วค่ะ ที่จะบอกว่าบางชนิดผักที่ขมเพียงแค่เรานำไปต้ม ก็สามารถลดความของได้นะคะ และถ้าผักชนิดไหนสามารถนำไปทำแกงได้ แบบนี้ยิ่งต่อการทำให้ขมน้อยลงค่ะ ที่วิธีบางอย่างในการลดความขมผู้เขียนก็ได้พูดถึงไว้บ้างแล้วข้างต้น สำหรับในสถานการณ์จริงนั้น ผู้เขียนพบว่า แต่ละคนที่อยากทานผักขม ก็ได้พยายามอย่างหนักในการหาวิธีการที่เหมาะสมให้ตัวเองค่ะ ก็ไม่รู้ว่าคุณผู้อ่านสนใจอยากจะทานผักขมชนิดไหน ยังไงนั้นเย็นนี้ลองไปเดินตลาดและหาผักขมๆ มาทำอาหารกันค่ะ และผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากชอบบทความแบบนี้อีก ก็อย่าลืมกดติดตามหรือกดบุ๊กมาร์กหน้าโปรไฟล์ไว้นะคะ เพราะจะได้ไม่พลาดบทความใหม่ๆ ที่จะได้นำมาเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ค่ะ เครดิตภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปก โดย Andres Carreno จาก Unsplash ภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน ออกแบบภาพหน้าปกโดยผู้เขียนใน Canva เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล บทความอื่นที่น่าสนใจโดยผู้เขียน https://food.trueid.net/detail/m0ewNQrMKP3W https://news.trueid.net/detail/o3pPpmQyz9K3 https://food.trueid.net/detail/lDoOYKpjqX0D หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !