9 เคล็ดลับปลูกผักกินเองในบ้าน ปลอดสารพิษ เพิ่มพื้นที่สีเขียว อ่านต่อเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ทุกวันนี้ผู้คนหันมาสนใจการดูแลตัวเองมากขึ้น ไม่เพียงแค่การออกกำลังกายหรือเลือกอาหารที่ดีต่อร่างกาย แต่ยังรวมไปถึงการรู้ที่มาของอาหารที่เรากิน การมีผักสดปลอดภัยอยู่ในครัวจึงกลายเป็นเป้าหมายของหลายครอบครัว อย่างไรก็ตามผักที่ซื้อจากตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตมักทำให้คนกังวลเรื่องสารเคมีตกค้าง ยาฆ่าแมลง และการปนเปื้อนจากกระบวนการขนส่ง นอกจากนี้ราคาผักผันผวนตามฤดูกาลและสภาพอากาศ ยังทำให้บางครั้งผักที่เราต้องการขาดตลาด หรือไม่สดเท่าที่ควร ปัญหาเหล่านี้ทำให้คนจำนวนมากเริ่มมองหาวิธีพึ่งพาตนเอง และสร้างความมั่นใจในคุณภาพอาหารด้วยการปลูกผักกินเอง ซึ่งการมีพื้นที่สีเขียวเล็กๆ ในบ้าน ยังช่วยเพิ่มบรรยากาศผ่อนคลาย ลดความเครียด และเป็นกิจกรรมที่สมาชิกครอบครัวมีส่วนร่วมได้ การปลูกผักกินเองจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้วนะคะ ไม่ว่าเราจะมีบ้านหรือคอนโดก็สามารถเริ่มได้ง่ายๆ ด้วยการวางแผนที่ดีและเลือกวิธีการปลูกที่เหมาะสม และบทความนี้ผู้เขียนได้รวบรวม 9 เคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยให้คุณผู้อ่านเริ่มต้นปลูกผักในบ้านได้จริง ดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเก็บเกี่ยวผลผลิตปลอดสารพิษที่ทั้งสดและปลอดภัยสำหรับทุกคนในครอบครัว ซึ่งต่อไปนี้คือแนวทางค่ะ 1. เริ่มจากพื้นที่เล็กๆ ก่อน หลายคนมักคิดว่าการปลูกผักกินเองต้องใช้พื้นที่ใหญ่หรือมีสวนเป็นเรื่องเป็นราว แต่จริงๆ แล้วเราสามารถเริ่มต้นได้จากพื้นที่เล็กๆ ที่มีอยู่ค่ะ เช่น ระเบียงห้องครัว ริมหน้าต่าง หรือแม้แต่ชั้นวางในคอนโด ให้เลือกภาชนะที่หาได้ง่าย เช่น กระถางเล็ก ขวดพลาสติกตัดครึ่ง หรือกล่องโฟมที่ไม่ได้ใช้แล้ว เพื่อให้การเริ่มต้นไม่ซับซ้อนและต้นทุนต่ำ การเริ่มจากพื้นที่เล็กช่วยให้เราสังเกตและดูแลต้นไม้ได้ใกล้ชิด ไม่รู้สึกท้อหากเจอปัญหา และยังใช้เวลาไม่นานในการดูแลในแต่ละวัน เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งหัดปลูกหรือมีเวลาจำกัดค่ะ เมื่อเราเริ่มคุ้นเคยกับการดูแลผักแล้ว เช่น การรดน้ำ การใส่ปุ๋ย และการสังเกตแมลงศัตรูพืชแล้ว จากนั้นให้ค่อยๆ ขยายพื้นที่และเพิ่มจำนวนชนิดผักให้มากขึ้น เช่น จากผักใบง่ายๆ อย่างผักบุ้ง กวางตุ้ง ไปสู่มะเขือเทศ พริก หรือสมุนไพรหลากหลายชนิด การขยายแบบค่อยเป็นค่อยไปทำให้เราไม่เครียด และยังช่วยให้เราจัดการพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเห็นผลผลิตชุดแรกจะสร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจ ทำให้เราอยากปลูกผักต่อเนื่องและเปลี่ยนพื้นที่ว่างในบ้าน ให้กลายเป็นมุมสีเขียวที่สดชื่นในระยะยาว 2. ป้องกันแมลงแบบธรรมชาติ การป้องกันแมลงศัตรูพืชไม่จำเป็นต้องพึ่งสารเคมีรุนแรงเสมอไปค่ะ เราสามารถใช้วิธีธรรมชาติที่ปลอดภัยต่อทั้งคนและสิ่งแวดล้อมได้ เช่น ปลูกพืชไล่แมลงอย่างตะไคร้หอม โหระพา กะเพรา หรือสะระแหน่ไว้รอบๆ แปลงผัก กลิ่นหอมของสมุนไพรเหล่านี้ช่วยรบกวนการเข้ามาของเพลี้ย หนอน หรือแมลงวันทองได้ดี อีกวิธีหนึ่งคือการทำน้ำหมักสมุนไพรจากกระเทียม พริก หรือข่า ผสมกับน้ำหมักชีวภาพเล็กน้อย แล้วฉีดพ่นบนใบผักสัปดาห์ละครั้ง วิธีนี้ช่วยลดปริมาณแมลงโดยไม่ทำลายดินหรือทำให้ผักสะสมสารพิษค่ะ นอกจากนี้การดูแลแปลงผักให้สะอาด และสังเกตอาการผิดปกติของต้นไม้ทุกวันเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อเห็นใบที่ถูกกัดกินหรือมีร่องรอยไข่แมลง ควรตัดแต่งและกำจัดออกทันทีเพื่อตัดวงจรการแพร่พันธุ์ ไม่ควรปล่อยให้การระบาดลุกลามจนต้องใช้สารเคมีรุนแรง การใช้วิธีธรรมชาติอย่างสม่ำเสมอทำให้ระบบนิเวศเล็กๆ ในบ้านสมดุล เช่น ดึงดูดแมลงที่เป็นประโยชน์อย่างเต่าทองหรือแมงมุมมาช่วยควบคุมแมลงศัตรูพืช ส่งผลให้ผักของเราแข็งแรง ปลอดภัย และเรายังรู้สึกมั่นใจเมื่อเก็บมารับประทานค่ะ 3. เลือกพืชที่โตง่ายและใช้บ่อย ทุกคนรู้ไหมว่าการเริ่มต้นปลูกผักนั้น เราควรเลือกพืชที่โตเร็วและไม่ต้องการการดูแลซับซ้อน เช่น ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ต้นหอม หรือผักชี เพราะพืชเหล่านี้งอกง่าย โตไว และเก็บเกี่ยวได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ เราจะได้เห็นผลลัพธ์เร็ว ทำให้เกิดแรงจูงใจและความสนุกในการดูแล นอกจากนี้ควรเลือกผักที่ใช้ทำอาหารบ่อย เพื่อให้เราได้ใช้ผลผลิตจริงในครัว ลดการซื้อผักจากตลาด และมั่นใจได้ในความสะอาดและความปลอดภัย เมื่อเรามีประสบการณ์มากขึ้น ให้ลองเพิ่มพืชที่ให้ผลผลิตต่อเนื่อง เช่น โหระพา กะเพรา พริก มะเขือเทศ หรือแม้แต่มะนาวในกระถาง พืชเหล่านี้จะทำให้เรามีวัตถุดิบสดใหม่ไว้ปรุงอาหารทุกวัน อีกทั้งยังสร้างความหลากหลายให้สวนผักในบ้าน การเลือกพืชที่เราและครอบครัวชอบกิน ยังช่วยให้เรารู้สึกคุ้มค่า ไม่เสียเวลาไปกับการปลูกพืชที่ไม่ถูกปากหรือถูกทิ้ง ช่วยลดขยะอาหารและทำให้การปลูกผักเป็นกิจกรรมที่ยั่งยืนค่ะ 4. เก็บเกี่ยวให้ถูกเวลา การเก็บเกี่ยวผักในเวลาที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่ทำให้ผักมีรสชาติอร่อยและคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด ผักใบเขียวอย่างผักบุ้งหรือกวางตุ้งควรเก็บเมื่ออายุ 20–25 วัน หลังปลูกค่ะ เพราะเป็นช่วงที่ใบอ่อนกรอบและมีรสชาติดี หากปล่อยไว้นานเกินไปใบจะแก่ แข็ง และรสชาติไม่ดีเท่าที่ควร สำหรับผักที่ให้ผล เช่น มะเขือเทศหรือพริก ควรเก็บเมื่อเริ่มสุกพอดี เพื่อกระตุ้นให้ต้นแตกดอกและติดผลใหม่อย่างต่อเนื่อง การเก็บเกี่ยวอย่างสม่ำเสมอยังช่วยให้เรามีผักหมุนเวียนรับประทานทุกสัปดาห์ และทำให้แปลงผักไม่รกจนเป็นที่สะสมของแมลงศัตรูพืช การใช้กรรไกรตัดหรือมีดคมๆ จะช่วยลดความเสียหายต่อต้นและให้พืชสามารถแตกยอดใหม่ได้เร็วขึ้น การสังเกตสี ขนาด และความนุ่มของใบหรือลำต้นก่อนเก็บเกี่ยวจึงเป็นทักษะสำคัญ เมื่อเราเก็บเกี่ยวได้ตรงจังหวะ เราจะรู้สึกภูมิใจ เห็นคุณค่าของการดูแล และอยากปลูกผักต่อเนื่องจนเป็นกิจวัตรค่ะ 5. ใช้ดินปลูกและปุ๋ยที่ปลอดสาร ดินปลูกที่ดีคือหัวใจสำคัญของการปลูกผักในบ้านค่ะ เพราะดินคือแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของรากพืช ให้เลือกใช้ดินร่วนผสมที่มีการระบายน้ำดีและอุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ เช่น ดินผสมกับปุ๋ยคอกที่ผ่านการหมักแล้ว ปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร หรือปุ๋ยใบไม้แห้ง วิธีนี้ช่วยให้ผักดูดซึมธาตุอาหารได้เต็มที่โดยไม่เสี่ยงสารเคมีตกค้าง การใช้ดินปลูกที่สะอาดและไม่มีเชื้อราสะสม ยังช่วยลดปัญหาต้นเน่าและโรคพืชที่อาจทำให้เราท้อแท้ในการปลูก นอกจากดินที่ดีแล้วการเติมปุ๋ยอินทรีย์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ดินฟื้นตัวและคงความอุดมสมบูรณ์ในระยะยาวค่ะ โดยเราสามารถทำปุ๋ยหมักเองได้ง่ายๆ จากเศษผัก เปลือกผลไม้ และกากกาแฟในครัว ทำให้เกิดระบบหมุนเวียนที่ยั่งยืน ลดปริมาณขยะเปียก และช่วยสิ่งแวดล้อม เมื่อเราใส่ปุ๋ยที่ปลอดภัย เราจะมั่นใจได้ว่าผักที่เก็บมาปรุงอาหารไม่มีสารพิษตกค้าง เหมาะสำหรับครอบครัวที่ใส่ใจสุขอนามัยและอยากปลูกผักกินเองอย่างยั่งยืนค่ะ 6. วางแผนแสงแดดให้เหมาะสม คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า แสงแดดคือปัจจัยสำคัญที่สุดที่กำหนดคุณภาพของผักในบ้านที่เราปลูก เพราะเป็นพลังงานหลักที่ใช้ในการสังเคราะห์แสง หากเราอยู่บ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮาส์ ควรเลือกมุมที่แดดส่องถึงอย่างน้อยวันละ 4–6 ชั่วโมง เช่น ริมรั้วหรือระเบียงที่หันไปทางทิศตะวันออกซึ่งได้แดดอ่อนตอนเช้า ส่วนคนที่อยู่คอนโดสามารถวางกระถางไว้ริมหน้าต่างหรือทำชั้นวางติดผนัง เพื่อให้พืชรับแสงได้มากที่สุด หากพื้นที่มีแดดแรงเกินไป ให้ใช้สแลนหรือผ้าขาวบางพรางแสงเพื่อป้องกันใบไหม้ การสังเกตตำแหน่งแสงแดดในแต่ละช่วงเวลาของวัน เป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่ก่อนเริ่มปลูกนะคะ เพราะจะช่วยให้เราจัดเรียงกระถางให้เหมาะสม เช่น วางพืชที่ชอบแดดจัดอย่างมะเขือเทศหรือพริกไว้ในตำแหน่งที่โดนแดดเต็ม ส่วนผักใบเขียวที่ต้องการแดดปานกลางอย่างผักสลัดหรือคะน้า ให้อยู่ในตำแหน่งที่มีร่มเงาบางส่วน การวางแผนแสงแดดอย่างรอบคอบ มีส่วนช่วยทำให้พืชเจริญเติบโตแข็งแรง ลดปัญหาต้นยืด ใบซีด และยังช่วยประหยัดเวลาแก้ปัญหาในภายหลังค่ะ 7. รดน้ำให้พอดีและไม่มากเกินไป หลายคนยังไม่รู้ว่าการรดน้ำเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่ส่งผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของผัก ถ้ารดน้ำน้อยเกินไป ดินจะแห้ง รากจะไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้เต็มที่ ทำให้ผักโตช้า ใบเหี่ยวหรือเหลือง ในทางกลับกันหากรดน้ำมากเกินไป ดินจะแฉะ รากอาจเน่าและเกิดเชื้อรา ดังนั้นควรตรวจความชื้นของดินก่อนรดทุกครั้งโดยใช้นิ้วจิ้มดินลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร หากดินยังชื้นให้เว้นการรดน้ำไปก่อน วิธีนี้ช่วยป้องกันไม่ให้พืชเครียดจากการเปลี่ยนแปลงความชื้นมากเกินไปค่ะ ซึ่งเวลาที่เหมาะสมในการรดน้ำคือช่วงเช้า เพราะอากาศยังไม่ร้อนจัด น้ำจะซึมลงดินได้ดีและต้นไม้มีเวลาสร้างอาหารตลอดวัน หากจำเป็นต้องรดน้ำตอนเย็นควรทำก่อนพระอาทิตย์ตก เพื่อให้ใบแห้งก่อนค่ำ ลดโอกาสเกิดโรคเชื้อรา การใช้บัวรดน้ำหัวฝอยหรือขวดเจาะรูเล็กๆ จะช่วยให้น้ำกระจายทั่วถึง โดยไม่ทำให้ดินกระเด็นขึ้นมาเลอะใบและต้นนะคะ ที่จะช่วยให้ผักแข็งแรง รากไม่ช้ำ และเราจะได้ผลผลิตที่สวยงาม น่ากินค่ะ 8. หมุนเวียนพืชที่ปลูก รู้ไหมคะว่า การปลูกพืชซ้ำชนิดเดิมในกระถางหรือแปลงเดิมตลอดเวลา อาจทำให้ดินเสื่อมโทรมและเกิดโรคสะสมในดินได้ง่าย ดังนั้นควรหมุนเวียนชนิดพืชที่ปลูกทุกครั้งที่เก็บเกี่ยวเสร็จ เช่น หลังจากปลูกผักใบเขียวรอบแรก ควรเปลี่ยนมาปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อเพิ่มไนโตรเจนให้ดิน หรือสลับปลูกพืชตระกูลผล เช่น มะเขือเทศ พริก เพื่อให้ดินได้พักจากการใช้ธาตุอาหารในรูปแบบเดิมๆ วิธีนี้ช่วยให้ดินคงความอุดมสมบูรณ์โดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยเคมีมากเกินไปค่ะ นอกจากนี้การหมุนเวียนพืชยังช่วยลดการสะสมของแมลงศัตรูพืชและโรคพืชที่เจาะจงกับพืชบางชนิด ทำให้ความเสี่ยงของการระบาดลดลง ซึ่งเราสามารถวางแผนหมุนเวียนพืชล่วงหน้าเป็นรอบๆ ตามฤดูกาลได้ เพื่อให้มีผลผลิตต่อเนื่องและหลากหลาย การจัดสรรชนิดพืชให้เหมาะสมในแต่ละรอบ จะช่วยให้สวนผักของเราสมดุล ดูมีชีวิตชีวา และดินก็มีเวลาฟื้นตัวตามธรรมชาติ เป็นการดูแลระบบนิเวศเล็กๆ ในบ้านให้ยั่งยืนได้ค่ะ 9. ทำให้การปลูกผักเป็นกิจวัตร เมื่อเริ่มปลูกผักได้สักระยะ สิ่งสำคัญคือการทำให้การดูแลกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันค่ะ เช่น ตรวจดินและรดน้ำทุกเช้า ตัดใบเหลืองหรือใบที่ถูกแมลงกัดกินออก เก็บเศษใบไม้ที่ร่วงรอบกระถาง และใส่ปุ๋ยอินทรีย์เล็กน้อยตามรอบ การทำแบบสม่ำเสมอช่วยให้เราสังเกตความเปลี่ยนแปลงของพืชได้ทันเวลา และแก้ปัญหาก่อนที่จะลุกลาม เช่น โรคใบไหม้หรือเพลี้ยระบาด การใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีทุกวันยังทำให้การปลูกผักไม่รู้สึกหนักหรือเสียเวลาเกินไปนะคะ การทำให้การปลูกผักเป็นกิจวัตรยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิต เพราะเป็นช่วงเวลาที่เราได้พักสมอง ผ่อนคลาย และเชื่อมโยงกับธรรมชาติ เกิดความรู้สึกภูมิใจเมื่อเห็นผักเติบโตและได้เก็บมาทำอาหาร จะกระตุ้นให้เราอยากปลูกต่อเนื่อง เป็นกิจกรรมที่ทั้งครอบครัวมีส่วนร่วมได้ เช่น ให้เด็กช่วยรดน้ำหรือเก็บผัก จนกลายเป็นนิสัยที่ดีร่วมกัน การสร้างกิจวัตรเล็กๆ แบบนี้จะทำให้บ้านของเราเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียว สดชื่น และยั่งยืนในระยะยาวค่ะ ที่โดยสรุปแล้วการปลูกผักกินเองในบ้านไม่ใช่แค่กิจกรรมเสริมยามว่างค่ะ แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศเล็กๆ ที่เราออกแบบเองอย่างตั้งใจ ทุกขั้นตอนตั้งแต่การเลือกพื้นที่ การจัดการแสง การเตรียมดิน การรดน้ำ ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว ที่ล้วนเป็นการเรียนรู้ว่าธรรมชาติทำงานอย่างไร การทำซ้ำทุกวันทำให้เราเข้าใจวงจรชีวิตพืช เห็นความสำคัญของความสมดุลระหว่างดิน น้ำ แสง และเวลา ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงเป็นผักสดสะอาดสำหรับครอบครัว แต่ยังเป็นประสบการณ์ที่ช่วยฝึกสมาธิและสร้างความผูกพันระหว่างคนกับธรรมชาติค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นการปลูกผักยังเป็นการฝึกวิธีคิดแบบยั่งยืน เมื่อเราหมุนเวียนพืช ใช้ปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร และสังเกตปัญหาเล็กๆ ก่อนลุกลาม เรากำลังฝึกมุมมองป้องกันมากกว่าแก้ไข การมีส่วนร่วมของทุกคนในครอบครัว ก็ทำให้เกิดกิจกรรมร่วมกันที่สนุกและได้ประโยชน์ เด็กๆ ได้เรียนรู้เรื่องอาหารและสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เล็ก พ่อแม่ได้ใช้เวลาใกล้ชิดกันมากขึ้น และสุดท้ายสิ่งที่เราได้ไม่ใช่แค่ผลผลิตสีเขียวในจานอาหาร แต่เป็นคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ความภูมิใจ และความสุขใจที่ได้สร้างโลกใบเล็กให้สมดุลขึ้นทุกวันค่ะ ซึ่งเรื่องการปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้นั้น ผู้เขียนทำมาตลอดค่ะ โดยการหมุนเวียนสับเปลี่ยนชนิดพืช คือ แนวทางที่ผู้เขียนมองว่าเป็นจุดหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ เพราะทำให้การปลูกผักของเราไปต่อได้ไม่ว่าในระหว่างเส้นทางจะเจออะไรค่ะ เพราะในบางครั้งเราปลูกบางอย่างไม่เกิด แต่อย่าล้มเลิกค่ะ ให้ลองเปลี่ยนชนิดอื่นแทน โดยการปลูกพืชแบบหลากหลายนั้น ผู้เขียนเน้นการเลือกพืชตามฤดูกาล พืชท้องถิ่น พืชผักที่ใช้บ่อยในครัว พืชชที่มีเมล็ดเยอะ เพื่อต่อยอดปลูกใหม่ในรุ่นต่อไปได้ง่าย ผักสวนครัวกลุ่มสมุนไพรที่มีกลิ่นแรงตามธรรมชาติ และพืชที่กินใบเด็ดยอด โดยผักสวนครัวที่ผู้เขียนมีอยู่ตอนนี้มากกว่า 5 ชนิดค่ะ มีผักมากจนสามารถแจกจ่ายเพื่อนบ้านได้ด้วยนะคะ และนอกจากนำมาเป็นผักในครัวเรือนแล้ว ยังทำให้ผู้เขียนได้ใช้เวลาเรียนรู้เรื่องการปลูก การจัดการผักสวนครัว การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในบ้าน และการบริหารจัดการพื้นที่ในบ้านให้เกิดประโยชน์ ซึ่งตอนนี้มีแผนว่าปลายฝนจะลงต้นกล้ากะหล่ำปลี ผักสลัด บรอกโคลีและกลุ่มผักที่เกิดได้ดีในช่วงอากาศหนาวค่ะ เอาไว้มีโอกาสจะมาบอกต่อเกี่ยวกับผักที่ลูกได้ในช่วงหน้าหนาวนะคะ ยังไงนั้นก็อย่าลืมนำเทคนิคข้างต้นไปใช้กันค่ะ มีผักเกิดก็ยังดีกว่ามีหญ้าเกิดนะคะ และด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากคุณผู้อ่านชื่นชอบเนื้อหาแนวนี้ อย่าลืมกดติดตามหรือบันทึกโปรไฟล์ไว้ เพื่อจะได้ไม่พลาดข้อมูลใหม่ๆ ในบทความถัดไป หากสนใจอ่านบทความทั้งหมดของผู้เขียน ก็สามารถกดเข้าไปดูได้จากโปรไฟล์เช่นกันค่ะ #ปลูกผักกินเอง #ผักปลอดสารพิษ #ผักสวนครัวรั้วกินได้ #พื้นที่สีเขียว เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปกและออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล รีวิวรดน้ำผักและต้นไม้ ด้วยน้ำซาวข้าว ลดการเกิดน้ำเสียได้นะ! 9 วิธีเลือกดินปลูกต้นไม้แบบถุง ดูยังไงดี น่าซื้อมาใช้ ปุ๋ยคอก คืออะไร มีประโยชน์อะไรบ้าง ใช้ยังไงดี หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !