MONSOON มอนซูน เป็นมากกว่าชา ให้คุณค่ามากกว่าความสุนทรีย์ (คำอธิบายภาพ : ป้ายชื่อร้าน) #เรื่องเล่านอกถิ่น #หีบหายรีวิว มากกว่ารสชาติให้เสพ คือมีเรื่องราวให้สื่อ ผมอาจจะเป็นคนบ้าเรื่องราวอย่างที่ใครๆ เขาบอก เลยไม่แปลกที่ตัวเองมักจะออกตามอาร้านอาหาร หรือเรื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์และเรื่องราวเป็นของตัวเอง มันมีความน่าสนใจที่ลงลึกได้มากกว่ารสชาติ หรือคำว่า “อร่อย ไม่อร่อย” ก่อนหน้านั้นผมได้รีวิวร้านกาแฟเต็มไปด้วยความสนุกให้เสพสันต์ แต่วันนี้สิ่งที่ผมออกตามหาอาจจะเป็นเครื่องดื่มสักอย่าง...ที่นอกกระแส สวนกระแส แต่ยังคงมีอยู่อย่างชัดเจน “ชา” แน่นอนว่าชาคือเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอันดับสองของโลก รองจากน้ำเปล่า แต่ก็คงไม่แปลกที่ไทยจะไม่มองเช่นนั้น เพราะบ้านเราไม่ได้นิยมจิบชากันอย่างแพร่หลายเท่าไหร่...ซึ่งนี่ก็ไม่ได้นับรวมถึงชาไข่มุกที่ฮิตสนั่นโลกนั่นนะครับ ผมตรงเข้าไปที่ร้าน “มอนซูน ที” แห่งนี้ด้วยความรู้สึกเพียงอย่างเดียวคือเสน่ห์บางอย่างที่มองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่า “มีของ” แน่ๆ ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากที่ได้พูดคุยกับพี่พนักงานทั้งสองคนแล้ว ผมก็รู้ได้ทันทีว่าการที่ผมเลือกจะดื่มชาร้านนี้...ผมคิดถูก (คำอธิบายภาพ : บรรยากาศโดยรวมของร้าน) มอนซูน ที เป็นร้านขายชาและผลิตชาซึ่งตั้งอยู่ดั้งเดิมในจังหวัดเชียงใหม่ มีทั้งหมด 2 สาขา และปัจจุบันนี้ก็มาเปิดที่กรุงเทพอีก2สาขา นั่นนับว่าเป็นเรื่องดีที่การเดินทางเข้ากรุงของผมครั้งนี้ได้เจอร้านที่พิเศษ และน่าสนใจอย่างที่ตัวเองต้องการ พนักงานเล่าให้ผมฟังว่าทางร้านนั้นจะใช้ใบชาจากใบเมี่ยงที่ขึ้นตามธรรมชาติ ไม่มีการปลูก ไม่มีการทำไร่ หรือใช้สารเคมีใดๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยใช้การรับซื้อจากชาวบ้านชาวเขาที่เก็บใบชาที่ได้ที่มาขายให้กับทาง คุณเคนเนธ เจ้าของร้านชาชาวสวีเดน พื้นที่ส่วนใหญ่คือจังหวัดในภาคเหนือตอนบน โดยมีจุดประสงค์หลักคือการส่งต่อรายได้ให้กับชุมชน สร้างอาชีพให้กับชาวบ้านในพื้นที่นั้นๆ อย่างเต็มที่ เพียงแค่ผมได้รับทราบข้อมูลในส่วนนี้ ก็สัมผัสได้ว่ามากกว่าชาแก้วหนึ่งที่จ่ายเงินไป รายได้ส่วนนั้นยังถูกส่งต่อให้ใครต่อใครมากมายอีกด้วย ความน่าสนใจส่วนตัวของผมคือการใช้ใบเมี่ยงมาเป็นส่วนประกอบหลักของชา ด้วยพื้นเพคนเหนืออย่างผมนั้นค่อนข้างชินกับการนำมาดองแล้วห่อเกลือเคี้ยวเสียมากกว่า (คำอธิบายภาพ : ผลิตภัณฑ์ต่างๆ) ยิ่งไปกว่านั้น ใบชาของทางร้านยังมีความหลากหลายให้เลือก ทดสอบกลิ่นด้วยการดมจนอยากจะล่องลอยเสียตรงนั้น ใบชาที่นี่หอมเป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานเข้ากับกลิ่นของผลไม้ต่างๆ ที่ใส่ลงมาอย่างลงตัว ทำให้ผมเองถึงกับต้องเดินวนขอดมใบชาเกือบทุกชนิดกันเลยทีเดียว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว (คำอธิบายภาพ : ตัวอย่างใบชาสำหรับทดลองความหอม) ในตอนที่ผมแวะเข้าไปที่ร้าน ตอนนั้นทางร้านกำลังชงชาอู่หลงอุ่นๆ หอมกรุ่นไว้สำหรับให้ลูกค้าชิมไว้พอดี จึงสบโอกาสที่จะขอชิม ชาอู่หลงตัวนี้มีกลิ่นหอมเข้มครับ รสชาติฝาดติดปลายลิ้นบางเบา แต่หลังจากที่กลืนลงคอแล้วหายใจตามลึกๆ กลิ่นที่ชัดเจนก็จะเผยขึ้นมาทันทีครับ...ผมใช้เวลาดื่มด่ำกับชาแก้วเล็กนั้นนานพอสมควร (คำอธิบายภาพ : ชาอู่หลงสำหรับทดลองชิม) อีกหนึ่งความที่สุดก็คงจะเป็นเมนูที่พี่พนักงานบอกเอาไว้ ว่าเป็นตัวเมนูที่คุณเคนเนธคิดค้นให้เหมาะกับความเป็นไทยโดยเฉพาะครับ...นั่นก็คือ “LONG LEAFE MILK TEA” แปลเป็นไทยแบบไทยสุดขีดก็คือ ชากลิ่นข้าวเหนียวมะม่วงครับ...ไงล่ะ ไทยพอหรือยัง ? (คำอธิบายภาพ : เมนูพิเศษ ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ของร้าน) แน่นอนครับ ว่าผมสั่งเจ้าเมนูที่ว่านั้นทันที ส่วนผสมคร่าวๆ ที่พี่พนักงานอธิบายอย่างน่ารักคือ ใช้ใบชาที่มีกลิ่นข้าวเหนียวมะม่วง ผสมเข้ากับชาดำที่เป็นสูตรเฉพาะของร้านเพียงสูตรเดียวที่สามารถมิกซ์ผสมกับนมได้ (คำอธิบายภาพ : ขั้นตอนการเชคชาที่มีส่วนผสมต่างๆ) ก่อนที่จะราดฟองนมปิดด้านบน อีกทั้งโรยใบชากลิ่นข้าวเหนียวมะม่วงเพิ่มอรรถรสเข้าไปอย่างเต็มที่ แล้วก็เสียบหลอดกระดาษลงไปเป็นอันสิ้นสุดกระบวน (คำอธิบายภาพ : ฟองนมนุ่มๆ กับผงชาที่มีกลิ่นชัดเจนโรยหน้า) หอม แปลก อร่อย เต็มที่ความเป็นไทย และที่สำคัญคือ...รักษ์โลกอีกด้วย (คำอธิบายภาพ : เมนูชาข้าวเหนียวมะม่วง) รสชาติของชาหอมละมุนครับ กลิ่นชาบางๆ แต่ยังคงมีความเป็นเอกลักษณ์ของชา แทรกด้วยกลิ่นมะม่วงที่ตีขึ้นจมูก รสชาติหวานพอดี กลมกล่อมลงตัว ก่อนที่จะทานเพียงแค่ยกแก้วขึ้นมาก็จะได้กลิ่นหอมข้าวเหนียวมะม่วงจากใบชาที่โรยหน้าชัดเจน มันคือความเป็นไทยที่แปลกใหม่สำหรับผมอย่างมาก และนอกจากที่จะมีชาข้าวเหนียวมะม่วงที่เป็นความแปลกใหม่นี้แล้ว บรรดาชาร้อนต่างๆ ก็มีให้เลือกคัดสรรกันอีกไม่ต่ำกว่าสิบชนิด ยิ่งได้ดมตัวอย่างที่ทางร้านมีไว้ให้แล้วก็อยากจะเอากลับบ้านไปให้หมดเลยจริงๆ ครับ ทั้งกลิ่นดอกไม้ ที่มีความฟลอร่าเบาๆ กลิ่นกุหลาบที่หอมชัดเจน กลิ่นผลไม้อื่นๆ ที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ารสชาติจะออกมาเป็นยังไง ผมคิดว่าจุดเด่นของเขาคือการที่สรรสร้างชาไทยให้มีความหลากหลายพอๆ กับชาต่างประเทศที่ผมเคยดื่มมา ซ้ำยังทำได้ดีเสียด้วยสิ ซึ่งกลิ่นที่ผมค่อยข้าติดใจและนำมาฝากวันนี้ก็คือ “ชาแม่น้ำปิง” ที่ให้กลิ่นลำไยหวานหอม “ชาท่าแพ” ที่มีกลิ่นของใบเตย มะพร้าว และแซมด้วยกุหลาบปิดท้าย แปลกใหม่มากๆ ครับ “ชาดอยสุเทพ” ตัวนี้มิกซ์ผสมระหว่างดอกบัว ลาเวนเดอร์ กุหลาบ มะลิ และปิดท้ายด้วยสตอเบอรี่ (คำอธิบายภาพ : ชาที่แนะนำ) ทั้งสามตัวนี้เป็นตัวที่ให้กลิ่นที่คุ้นเคยแต่กลับแปลกใหม่ ซ้ำยังมีความลึกล้ำมากเป็นพิเศษ ผมจึงนำเสนอครับ ความซับซ้อนของกลิ่นนั้นให้ความรู้สึกใหม่ๆสำหรับผมมาก แต่หากว่าใครที่ไม่ชอบชาซึ่งมีความหวานแหววเช่นนี้ ทางร้านก็มีชาสูตรปกติ ที่ไม่ผสมกลิ่นใดๆ ให้เสพกลิ่นและดื่มด่ำกับรสชาติของชาเมี่ยงได้อย่างเต็มๆ ครับ (คำอธิบายภาพ : ใบชาของทางร้านที่มีมากมาย) นอกจากที่กล่าวมานั้น มอนซูน ที ยังมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทั้งชาแปรรูป หรือเรียกว่า “ชาหมัก” ที่นำใบชาไปหมักกับจุลินทรีย์ จนได้เป็นเครื่องดื่มชาแบบพิเศษที่อร่อย รสชาติดีและมีประโยชน์ต่อระบบภายในร่างกายอีกด้วย ผมนั่งอยู่ที่ร้านนั้นหลายสิบนาที ได้พูดคุยและเปลี่ยนความรู้กับพี่พนักงานอย่างเต็มที่ เธอยินดีและเต็มใจบริการ พร้อมทั้งตอบทุกๆ คำถามอย่างเป็นกันเอง ด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยไมตรีจิต (คำอธิบายภาพ : ชาหนึ่งแก้ว กับใบชาสารพัด) มีอะไรอีกหลายอย่างที่ผมอยากคุยและสอบถาม เพราะรู้ดีว่าคงไม่ค่อยมีโอกาสได้พบเจอเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและเบื้องหลังเช่นนี้บ่อยนัก ทว่าท้ายที่สุดผมก็ต้องลุกออกมาพร้อมกับชาหนึ่งกล่อง ที่คงช่วยให้ผมหายคิดถึงยามผมกลับจากที่นี่ไป (คำอธิบายภาพ : ใบชาแห้งที่วางขายขนาดเล็ก) ไม่มีคำอธิบายใดๆ ในความรู้สึกอิ่มเอมของผมในวันนี้ ไม่มีคำว่าดีหรือไม่ ผมไม่มีวันจะตัดสินมัน แต่กระทั่งตอนที่ผมจรดปลายนิ้วเพื่อจะจบเรื่องเล่าของผมในวันนี้ กลิ่นของชายังคงกรุ่นอยู่ในความทรงจำ (คำอธิบายภาพ : มุมของร้านที่ชอบ) (คำอธิบายภาพ : ก่อนจากกัน) ผมน่ะ...หลงใหลมันชะมัดเลย เรื่อง / ภาพ :: น้องหีบ