9 ทริคทำข้าวคั่วเอง จากข้าวเหนียว เอาไว้ใส่อาหารในบ้าน ง่ายๆ อ่านเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล การทำข้าวคั่วเองที่บ้านถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ช่วยยกระดับอาหารไทย โดยเฉพาะเมนูอีสานให้มีกลิ่นหอม และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมถึงต้องมีทริคหรือเทคนิคต่างๆ ในการทำข้าวคั่ว? เหตุผลก็คือการทำข้าวคั่วให้ได้คุณภาพดีจริงๆ ไม่ใช่แค่การนำข้าวไปคั่วให้เหลืองเฉยๆ ค่ะ แต่คือการควบคุมปัจจัยหลาย ๆ อย่างให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด เพื่อให้ได้ข้าวคั่วที่หอมฟุ้ง กรอบกำลังดี และมีสีเหลืองทองสวยงาม ซึ่งถ้าไม่รู้ทริคบางทีข้าวคั่วที่ได้อาจจะไหม้บ้าง ไม่หอมบ้าง หรือไม่กรอบเท่าที่ควร และทำให้รสชาติอาหารโดยรวมออกมาไม่เต็มที่ ซึ่งความแตกต่างระหว่างคนที่รู้ทริคกับคนที่ไม่รู้นั้นชัดเจนมากค่ะ คนที่ไม่รู้ทริคอาจจะเจอปัญหาข้าวไหม้ติดกระทะ คั่วแล้วไม่หอม หรือเม็ดข้าวไม่กรอบเท่าที่คิด ทำให้ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกหลายครั้ง หรืออาจท้อไปเลยก็ได้ แต่เมื่อคุณผู้อ่านรู้ทริคต่างๆแล้ว ทุกอย่างจะง่ายขึ้นทันทีค่ะ เพราะแต่ละทริคเป็นเหมือนกับทางลัดหรือคำแนะนำจากประสบการณ์จริง ที่จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไป และมุ่งตรงสู่การทำข้าวคั่วที่สมบูรณ์แบบได้ตั้งแต่ครั้งแรกๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกข้าว การควบคุมไฟ การคน หรือการสังเกตสีและกลิ่น เมื่อรู้แล้วการทำข้าวคั่วจะกลายเป็นเรื่องสนุกและน่าภาคภูมิใจ ที่สำคัญคือเราจะได้ข้าวคั่วคุณภาพพรีเมียมไว้ใช้ในครัวเอง และต่อไปนี้คือทริคสำคัญๆ ที่จำเป็นต้องรู้นะคะ 1. เลือกข้าวเหนียวที่สะอาด คุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การที่เราสามารถเลือกสรรข้าวเหนียวที่สะอาดมาใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นนั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยให้มั่นใจได้ถึงสุขอนามัยที่ดีเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของข้าวคั่วที่จะได้ค่ะ เพราะข้าวเหนียวที่สะอาดจะทำให้ข้าวคั่วของเราปราศจากสิ่งปนเปื้อนเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจติดมากับข้าวสาร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการได้มาซึ่งเครื่องปรุงรสที่สดใหม่ มีคุณภาพ และมีกลิ่นหอมฟุ้ง ที่จะเพิ่มอรรถรสให้อาหารจานโปรดของเราได้อย่างเต็มที่ จึงนับเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับง่ายๆ ที่ช่วยยกระดับฝีมือในครัวได้โดยไม่ต้องพึ่งพาข้าวคั่วสำเร็จรูปค่ะ 2. ล้างข้าวเหนียวและผึ่งให้แห้ง สิ่งสำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามไป คือ ขั้นตอนการล้างข้าวสารและผึ่งให้แห้งก่อนนำไปคั่วค่ะ เพราะการล้างข้าวไม่ได้แค่ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกหรือฝุ่นผงที่อาจปะปนมากับข้าวสารเท่านั้น แต่ยังช่วยกำจัดแป้งส่วนเกินที่เกาะอยู่บนเมล็ดข้าวออกไปได้ด้วย พอข้าวสะอาดแล้ว การนำไปผึ่งให้แห้งสนิทจริงๆ ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพราะความชื้นที่หลงเหลืออยู่ในเมล็ดข้าว จะทำให้ข้าวคั่วของเราไม่กรอบเท่าที่ควร และยังอาจทำให้คั่วได้ไม่ทั่วถึง ซึ่งส่งผลต่อกลิ่นหอมและรสสัมผัสที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการใส่ใจในขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ อย่างการล้างและผึ่งข้าวให้แห้ง คือ หัวใจสำคัญที่จะทำให้ข้าวคั่วที่เราทำเองนั้นหอมฟุ้ง กรอบอร่อย และยกระดับรสชาติอาหารให้เด็ดดวงยิ่งขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวค่ะ 3. ใช้ไฟอ่อนถึงปานกลาง หลายคนอาจคิดว่าเร่งไฟแรงๆ จะได้เสร็จเร็ว แต่จริงๆ แล้ววิธีนี้จะทำให้เมล็ดข้าวไหม้เกรียมแต่ข้างในยังไม่สุกค่ะ และจะไม่ได้ความหอมอย่างที่ต้องการ การใช้ไฟอ่อนถึงปานกลางอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ความร้อนค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในเมล็ดข้าวทีละน้อย ที่จะทำให้ข้าวสุกทั่วถึงทั้งเมล็ด และเกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่สร้างกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของข้าวคั่วออกมาอย่างเต็มที่ นอกจากนี้การใช้ไฟแบบนี้ยังช่วยให้เราควบคุมการคั่วได้ง่ายขึ้น ลดโอกาสที่ข้าวจะไหม้จนขม แต่ทำให้เราได้ข้าวคั่วที่มีสีเหลืองทองสวยงาม และมีกลิ่นหอมฟุ้งน่ารับประทานอย่างแท้จริงนะคะ ดังนั้นการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ คือสิ่งที่จะเปลี่ยนข้าวคั่วธรรมดาให้กลายเป็นเครื่องปรุงที่มีคุณภาพมากขึ้น ที่ยกระดับเมนูโปรดของเราให้กลมกล่อมและน่าประทับใจยิ่งขึ้นค่ะ 4. คั่วในกระทะก้นหนา เนื่องจากกระทะแบบก้นหนามักมีคุณสมบัติพิเศษ โดยเฉพาะในเรื่องของการกระจายความร้อนได้ดีเยี่ยมและสม่ำเสมอทั่วทั้งก้นกระทะ ซึ่งจะแตกต่างจากกระทะก้นบางที่ความร้อนมักจะรวมตัวอยู่แค่จุดเดียว จึงทำให้ข้าวไหม้เป็นหย่อมๆ หรือสุกไม่ทั่วถึง และคุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การที่ความร้อนกระจายตัวได้ดีจะช่วยให้ทุกเมล็ดข้าวได้รับความร้อนอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ข้าวสุก กรอบ และมีสีเหลืองทองสวยงามพร้อมปลดปล่อยกลิ่นหอมฟุ้งออกมาได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นการลงทุนกับกระทะก้นหนาดีๆ สักใบเพื่อใช้คั่วข้าวคั่ว จึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะจะช่วยให้เราได้ข้าวคั่วคุณภาพดี หอมอร่อย และยกระดับรสชาติอาหารให้กลมกล่อมลงตัวยิ่งขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวค่ะ 5. คนตลอดเวลา การทำข้าวคั่วเองที่บ้านเป็นหนึ่งในเคล็ดลับง่ายๆ ที่ช่วยเพิ่มความหอมและมิติของรสชาติให้อาหารได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะกับเมนูอาหารอีสาน และสิ่งสำคัญที่ต้องย้ำเตือนกันเสมอ คือ การคนข้าวตลอดเวลาในระหว่างที่คั่วค่ะ หลายคนอาจคิดว่าวางทิ้งไว้สักพักแล้วค่อยมาคนก็ได้ แต่ความจริงแล้วการที่เราหมั่นคนข้าวอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ทุกเมล็ดได้รับความร้อนอย่างสม่ำเสมอทั่วถึงกัน ทำให้ข้าวสุก กรอบ และมีสีเหลืองทองสวยงามเท่ากันทั้งกระทะ ที่ไม่ใช่แค่ไหม้เป็นหย่อมๆ ตรงจุดที่โดนความร้อนมากเกินไปเท่านั้น ซึ่งการคนตลอดเวลายังช่วยให้กลิ่นหอมเฉพาะตัวของข้าวคั่วค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างเต็มที่ จึงทำให้ได้ข้าวคั่วที่หอมฟุ้งน่ารับประทาน และนี่คือหัวใจสำคัญที่จะเปลี่ยนข้าวเหนียวธรรมดา ให้กลายเป็นเครื่องปรุงที่ช่วยยกระดับความอร่อยของอาหารทุกจานให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นค่ะ 6. สังเกตสีและกลิ่น รู้ไหมคะว่า เวลาเราทำข้าวคั่ว ในตอนแรกนั้นข้าวเหนียวดิบจะมีสีขาวขุ่น แต่พอได้รับความร้อนและถูกคั่วไปเรื่อยๆ สีของเมล็ดข้าวจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวลอ่อนๆ แล้วเข้มขึ้นๆ จนเป็นสีเหลืองทองสวยงาม ซึ่งเป็นสิ่วที่บอกว่าข้าวเริ่มสุกและกำลังส่งกลิ่นหอมฟุ้งออกมา ซึ่งกลิ่นหอมนี้คือหัวใจสำคัญของข้าวคั่วที่ดี โดยควรมีกลิ่นหอมไหม้จางๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ คล้ายข้าวใหม่ที่เพิ่งหุงสุกผสมกับความหอมของข้าวคั่ว ที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลด้วยความร้อน หากเราคั่วจนได้สีเหลืองทองสวยและได้กลิ่นหอมชัดเจน นั่นแปลว่าข้าวคั่วของเราพร้อมแล้วค่ะ ซึ่งการรู้จักหยุดคั่วในจังหวะที่พอดีนี้จะช่วยให้ได้ข้าวคั่วที่หอมอร่อย ไม่ไหม้จนขม และพร้อมที่จะยกระดับรสชาติอาหารให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นได้ 7. ใส่สมุนไพรเพิ่มความหอม (ไม่บังคับ) ถึงแม้ว่าในบางสูตรหรือเราอาจเคยได้ยินบางคนบอกมาว่า เราจะสามารถเลือกใส่สมุนไพรเพิ่มความหอม อย่างใบมะกรูดหรือตะไคร้ลงไปคั่วพร้อมกับข้าวได้ แต่สิ่งสำคัญที่ผู้เขียนอยากให้ทุกคนเข้าใจ คือ สมุนไพรก็ไม่จำเป็นเสมอไปค่ะ เพราะหัวใจหลักของข้าวคั่วที่ดี คือ กลิ่นหอมของข้าวคั่วแท้ๆ ที่เกิดจากการคั่วเมล็ดข้าวเหนียวจนสุกเหลืองหอมอย่างพอดี แต่การเพิ่มสมุนไพรเข้าไปเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งเท่านั้น ที่จะช่วยเสริมกลิ่นให้ซับซ้อนและมีมิติมากขึ้นสำหรับบางเมนู ถ้าหากเราต้องการข้าวคั่วที่มีกลิ่นหอมเป็นธรรมชาติและเป็นเอกลักษณ์ของข้าวคั่วจริงๆ การคั่วข้าวเหนียวเปล่าๆ ก็เพียงพอแล้วค่ะ 8. พักข้าวให้เย็นสนิทก่อนบด หนึ่งขั้นตอนที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาด คือ การพักข้าวคั่วให้เย็นสนิทก่อนนำไปบดค่ะ เพราะหลายคนอาจใจร้อนอยากบดทันทีที่คั่วเสร็จ แต่ความจริงแล้วข้าวคั่วที่เพิ่งผ่านความร้อนมาใหม่ๆ จะยังมีความชื้นและความร้อนสะสมอยู่ภายใน การนำไปบดขณะที่ยังอุ่นอยู่จะทำให้ข้าวคั่วจับตัวเป็นก้อน ไม่ร่วนซุย และอาจทำให้ไม่ได้ความละเอียดตามที่ต้องการ แถมกลิ่นหอมอาจจะระเหยออกไปเร็วเกินไปอีกด้วย การที่เราใจเย็นรอให้ข้าวคั่วเย็นตัวลงจนสนิท จะช่วยให้เมล็ดข้าวกรอบตัวเต็มที่ ทำให้บดได้ง่ายขึ้น ได้เนื้อสัมผัสที่ร่วนละเอียด และยังช่วยกักเก็บกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของข้าวคั่วไว้ได้อย่างเต็มที่ ทำให้ข้าวคั่วที่เราทำเองนั้นหอมฟุ้งและพร้อมที่จะยกระดับความอร่อยของอาหารทุกจานค่ะ 9. บดให้ละเอียดตามต้องการ ขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การบดให้ละเอียดตามต้องการค่ะ หลังจากที่เราคั่วข้าวเหนียวจนหอมกรอบและปล่อยให้เย็นสนิทแล้ว การเลือกบดให้ได้ความละเอียดที่พอดีกับเมนูที่จะนำไปใช้เป็นสิ่งสำคัญนะคะ ถ้าชอบให้เนื้อสัมผัสมีความกรุบกรอบเล็กน้อย ก็บดแบบหยาบๆ แต่ถ้าอยากได้ความเนียนนุ่ม กลืนง่าย หรือใช้ในน้ำจิ้มที่ต้องการความละลายเข้ากันดี ก็บดให้ละเอียดเหมือนแป้งไปเลยค่ะ ซึ่งการตัดสินใจเลือกความละเอียดนี้ จะส่งผลโดยตรงต่อเนื้อสัมผัสและประสบการณ์การกินอาหารจานนั้นๆ ดังนั้นการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้เอง จะช่วยให้ข้าวคั่วที่เราทำเองนั้นตอบโจทย์กับความต้องการ และสามารถสร้างความประทับใจให้กับทุกคำในเมนูอาหารของเราค่ะ ที่โดยสรุปแล้วจากทริคต่างๆ ที่เราได้พูดกันมานั้น จะเห็นได้ว่าทั้งหมดคือองค์ประกอบที่ทำให้ข้าวคั่วของเราหอมฟุ้งและอร่อยถูกใจ แต่สิ่งสำคัญที่ผู้เขียนอยากจะบอกเพิ่มเติม คือ เราไม่จำเป็นต้องใช้ทุกทริคในคราวเดียวกันเสมอไปค่ะ เพราะในความเป็นจริงแล้ว หัวใจหลักของการทำข้าวคั่วที่ดี คือ การใส่ใจในกระบวนการและความเข้าใจในหลักการพื้นฐานให้ได้ก่อน ซึ่งทริคต่างๆ ข้างต้นเป็นเพียงแนวทางที่ช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาได้ดียิ่งขึ้นค่ะ และสำหรับคุณผู้ชายที่ไม่ค่อยถนัดเรื่องงานครัว แต่อยากลองหรือโดนใช้ให้ทำข้าวคั่วเอง เพื่อเพิ่มความอร่อยให้เมนูโปรด ก็ให้เริ่มต้นจากจุดง่ายๆ ก่อนก็ได้ค่ะ โดยให้ลองเลือกแค่ 3 ทริคสำคัญที่สุดมาก่อน เพื่อให้ไม่รู้สึกยุ่งยากจนเกินไป นั่นคืออย่างแรกให้ใช้ข้าวเหนียวที่สะอาดและแห้ง เพราะนี่คือวัตถุดิบตั้งต้นที่ดี ถัดมาคือให้ใช้ไฟอ่อนถึงปานกลางและคนตลอดเวลา เพื่อให้ข้าวสุกทั่วถึงและไม่ไหม้ และสุดท้ายให้สังเกตสีของข้าวให้เป็นสีเหลืองทองและได้กลิ่นหอม ซึ่งสิ่งนี้บ่งบอกว่าข้าวคั่วของเราใช้ได้แล้ว ส่วนเรื่องการบดก็แค่หาครกมาบดแบบหยาบๆ ที่ไม่ต้องเน้นความละเอียดมากก็ได้ค่ะ ขอแค่ให้มีเนื้อสัมผัสก็พอ เพียงแค่นี้เราก็จะได้ข้าวคั่วหอมๆ ที่ทำเองกับมือ มาเพิ่มรสชาติอร่อยให้อาหารของเราได้แล้ว ยังไงนั้นลองทำตามดูนะคะ แล้วจะรู้ว่าการทำอาหารไม่ได้ยากอย่างที่คิด! เพราะโดยส่วนตัวแล้วในตอนแรกๆ ผู้เขียนก็ปรับใช้ทริคบางทริคเท่านั้นค่ะ ที่ในตอนหลังมาพอคล่องขึ้นก็ได้ปรับใช้ทริคที่ซับซ้อนขึ้น ปกติผู้เขียนไม่เพิ่มสมุนไพรใดๆ ลงไปในตอนที่ทำข้าวคั่วค่ะ เพราะชอบความเป็นธรรมชาติของข้าวคั่วมากกว่า และหลายๆ ครั้งมีโอกาสได้ทำข้าวคั่วเอง โดยส่วนตัวแล้วเคยเห็นพ่อทำข้าวคั่วเอง พ่อก็จะคนตลอดเวลาเหมือนกันค่ะ สำหรับการทำให้ละเอียดนั้น คนรุ่นเก่าชอบใช้ครกนะคะ แต่คนรุ่นใหม่ก็แน่นอนว่าชอบเครื่องปั่นอาหารมากกว่า ถามว่าอะไรคือความแตกต่าง จริงๆ มีหลายอย่างที่ต่าง โดยคำหนึ่งที่ผู้เขียนมักได้ยินจากคนที่ชอบใช้ครก คือ การใช้ครกบดข้าวคั่ว จะได้ข้าวคั่วที่หอมกว่า แต่สำหรับคนที่ทำข้าวคั่วขายหรือต้องการข้าวคั่วจำนวนมาก นั่นอาจไม่ใช้ทางเลือกที่ตอบโจทย์นะคะ ยังไงนั้นก็ลองปรับใช้ทริคๆ ให้เข้ากับสถานการณ์ของตัวเองจะดีที่สุดค่ะ ด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไป และถ้าต้องการอ่านบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน ให้กดดูโปรไฟล์ได้เลยค่ะ #วิธีทำข้าวคั่ว #เครื่องปรุงรส_อาหารไทย #ความสะอาดในอาหาร #FoodSanitation เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปกและออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล วิธีเลือกซื้อพริกป่น แบบไหนดี ไม่ขึ้นรา มีคุณภาพ 9 ทริคเลือกข้าวเหนียวเขี้ยวงู แบบไหนดี หอมนุ่ม นิ่มและอร่อย 7 วิธีเลือกมะนาว เปลือกบาง น้ำเยอะ ดูง่ายได้ทุกที่ หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !