เมื่อพูดถึงเครื่องดื่ม Champagne คงเป็นที่นิยมของหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในงานเฉลิมฉลอง งานแต่ง ใช้ในเทศกาลปีใหม่ หรือการดื่มเพื่อความสำเร็จ ซึ่งยังสามารถดื่มก่อนงานเริ่ม เพื่อเรียกน้ำย่อย หรือดื่มระหว่างพิธีที่ต้องมีการชนแก้ว หรือร่วมยินดีด้วยนั่นเอง Champange เป็นไวน์ฟอง (Sparkling Wine) ชนิดหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากจากฝรั่งเศษ แต่ไม่ใช่ไวน์ฟองทุกตัวจะเรียกว่าแชมเปญได้ เพราะแชมเปญจะต้องผลิตตามขั้นตอน และต้องผลิตที่แคว้นแชมเปญเท่านั้น ถึงจะเรียกว่าแชมเปญได้นั่นเอง นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งผลิตที่ดีที่สุด นักดื่มทุกคนยอมรับ และมีประวัติที่ยาวนานมาก ๆ Champagne ถูกค้นพบโดยบาทหลวงดอม เปรีญง ในปี 1688 ท่านได้รับตำแหน่งดูแลเรื่องไวน์และงานครัว ซึ่งสมัยนั้นมีไวน์ที่ไม่มีฟองแล้ว ซึ่งดอม เปรีญงก็ไม่ค่อยรู้เรื่องไวน์มากเท่าไหร่นัก แต่ด้วยวิธีการเก็บหลาย ๆ แบบทำให้เกินไวน์มีฟองนั่นเอง พอดื่มเข้าไปแล้วก็รู้สึกว่าทำไมมันสดชื่น มากกว่าไวน์ทั่วไปกัน นอกจากนั้นแชมเปญยังถูกค้นพบจากการเกิดจากเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจ ระหว่างที่ส่งไวน์ไม่มีฟองไปประเทศอังกฤษ ด้วยสภาพอากาศที่ร้อน จึงทำให้ไวน์มีการหมักตัวครั้งที่สองในขวด และเกิดเป็นฟอง หลังจากนั้นท่านบาทหลวงจึงหันมาทำไวน์มีฟองอย่างจริงจัง พัฒนา และกลายมาเป็นไวน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก โดยผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อว่า คลีโก (Veuve Clicquot) คลีโก หรือเราเรียกกันว่า " แม่ม่ายคลีโก " เพราะเธอได้แต่งงานกับเศรษฐีเก่าแก่ แต่สุดท้ายก็เหลือคุณคลีโกเท่านั้น เธอเป็นคนเก่งด้านการค้า จึงผันตัวมาเป็นนักธุรกิจ คลีโกได้เดินทางไปเจรจาประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ยุโรปในปี 1814 ในงานนั้นมีทั้งเหล่ากษัตริย์ ขุนนาง มาร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย ในงานเธอได้แจกแชมเปญเพื่อดื่มสังสรรคในงาน ปรากฎว่าทุกคนต่างพากันชื่นชมในรสชาติของแชมเปญ และเป็นที่นิยมมากไปทั่ว ทั้งยุโรป อเมริกา เรียกได้ว่าแทบจะทั่วโลกได้เลย ในปี ค.ศ. 19 ยอดการผลิตแชมเปญสูงถึง 120 เท่า และมีการนำลวดมาพันจุดก๊อก เพื่อป้องกันการระเบิด หลังจากนั้นเหล่าขุนนาง กษัตริย์และเหล่าขุนนางต่างพากันดื่มด่ำแชมเปญ และเป็นที่นิมยมในงานฉลองต่าง ๆ เรียกได้ว่าถ้างานไหนไม่มีแชมเปญ ถือว่า เชยเลยล่ะค่ะ และในปี 1937 ได้มีการผลิตแชมเปญรุ่นแรก และยังได้ตั้งชื่อว่า Dom Perignon ซึ่งเป็นที่นิยมและมีราคาแพงจนถึงปัจจุบันนี้ ปัจจุบันวิธีการทำแชมเปญเราเรียกว่า Classic Method ซึ่งเป็นการนำองุ่นมาหมักในถังใหญ่ ๆ และนำไปหมักรอบที่สองต่อในขวด ให้เกิดฟองนั่นเองซึ่งต่างจาก Sparkling Wine ทั่วไปที่หมักแค่ในถังเพียงรอบเดียว แล้วจึงนำบรรจุในขวด จึงทำให้วิธีการทำแชมเปญ เป็นวิธีที่ค่อนข้างปราณีต ใส่ใจทุกขั้นตอน และใช้ต้นทุนสูง แชมเปญจึงราคาสูงไปด้วย เกล็ดความรู้... องุ่น 3 พันธุ์ที่นำมาทำแชมเปญได้แก่ พันธุ์ Chardonnay, Pinot Meunier และ Pinot Noir เท่านั้น และผลิตถูกต้องตามกฏหมาย ที่กำหนดจึงจะมีสิทธิเรียกแชมเปญได้! นอกจากนั้นแชมเปญที่ดีนั้นจะต้องระบุ Vintage เพราะเป็นการเก็บเกี่ยวองุ่นในปีเดียว และจะต้องเป็นปีที่องุ่นนั้นดีจริง ๆ ถึงจะนำมาทำแชมเปญนั่นเอง ส่วน Non - Vintage นั้นเป็นรวมผสมผสานกันขององุ่นในหลาย ๆ ปี การเปิดแชมเปญ เคล็ดไม่ลับง่าย ๆ เนื่องจากผู้เขียนทำงานด้านอาหารและเครื่องดื่ม จึงอยากจะมาแชร์วิธีการเปิดง่าย อย่างแรกเลยแกะฟอล์ยออก และค่อย ๆ แกะลวดที่หุ้มอยู่ออกทีละนิด หันแชมเปญไปในทางที่ปลอดภัย และเอียงขวด 45 องศา มือข้างหนึ่งจับที่จุกก๊อก อีกข้างหนึ่งจับที่ตูดขวดและหมุนขวด ทีนี้ตอนเปิดจะต้องค่อย ๆ คลายแรงดันจากมือด้านจับจุกก๊อกอยู่ เพราะไม่อย่างนั้นจะมีเสียง และจุกก๊อกอาจจะเด้งออกมา ทำให้เกิดอันตรายได้ สาเหตุที่เอียงขวด 45 องศานั้นเพื่อที่เวลาเปิดขวด แรงดันภายในขวดจะเริ่มออกมา โดยที่ไม่มีฟองพุ่งออกมานั่นเอง จะคล้าย ๆ กับเวลาเราเปิดขวดน้ำอัดลม ต้องค่อย ๆ เปิดฝาออกมา เพื่อให้แรงดันภายในออกมาทีละน้อย ไม่ให้เกิดการพุ่งออกมาของฟองนั่นเองค่ะ การเสริฟแชมเปญ แก้วที่ใช้นั้นก็มีผลต่อรสชาติและคุณภาพของเครื่องดื่มเช่นกัน ดังนั้นแชมเปญจะเสริฟในแก้ว Flute หรือเป็นแก้วแชมเปญ เนื่องจากมีลักษณะหนา และความสูงของแก้วทำให้รักษาฟอง ไว้ได้นานนั่นเอง นอกจากนั้นแชมเปญควรเสริฟในอุณหภูมิประมาณ 3 - 7 องศาไม่ควรเกินนี้ ยิ่งเสริฟเย็นก็จะได้ความสดชื่นจากแชมเปญ การเก็บ ส่วนใหญ่แล้วจะเก็บได้ 1 - 3 วันเท่านั้น เพราะถ้านานไปกว่านั้นจะทำให้ฟองตาย และรสชาติก็จะเปลี่ยนไปอีกด้วย แชมเปญเหมาะสำหรับการทานเรียกน้ำย่อยก่อนมื้ออาหาร หรืออาจจะทานคู่กับอาหารได้ด้วยเช่น หอยนางรม อาหารทะเล จะเข้ากันได้ดีมาก ๆ เลยทีเดียวและเป็นอาหารยอดนิยม ที่จะทานคู่กับแชมเปญอีกด้วย นอกจากนั้นยังเป็นการดื่มเฉลิมฉลองในงานต่าง ๆ และยังเป็นเครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่นในมื้ออาหารตอนกลางวัน ท่ามกลางอากาศร้อน ๆ ได้ดีมาก ถึงแม้แชมเปญจะเป็นเครื่องดื่มที่ทานง่าย และทำให้สดชื่น แต่ก็ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเช่นกันนะคะ 📂 หาข้อมูลเพิ่มได้จาก หนังสือเจาะลึกไวน์ทั่วโลก และ Wine Folly 📌 ผู้เขียนต้องการแชร์ความรู้และเรื่องราวของแชมเปญเท่านั้น ❌ อายุต่ำกว่า 20 ปีห้ามดื่มแอลกอฮอล์ 📸 ขอบคุณภาพประกอบ รูปหน้าปก /ภาพที่1/ ภาพที่2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่4 / ภาพที่5 / ภาพที่6