วัตถุดิบจากทะเล ถือได้ว่ามีความหลากหลายมากที่สุดก็ว่าได้ ทั่วๆไป เราก็จะรู้จัก กุ้ง หอย ปู ปลา ที่พบเห็นได้ทั่วๆไป ทั้งจากตลาดสด หรือจะเป็นร้านอาหารต่างๆ แต่ถ้าสังเกตดีๆ เราจะพบว่า ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์เดิมๆ ที่เป็นตระกูลสัตว์เศรษฐกิจทั้งหลายก็ว่าได้ ซึ่งถ้าหากเราลองทำความรู้จักกับทะเลจริงๆ จะพบว่า ยังมีอีกหลายสิ่งที่เรายังไม่รู้จัก และไม่คิดว่าจะทานได้ หรือหากผ่านการปรุงกรรมวิธีเฉพาะตัวแล้ว อาจกลายเป็นเมนูอาหารจานใหม่บนโต๊ะอาหารได้เลยทีเดียว และมีร้านอาหารญี่ปุ่นที่สร้างโดยคนไทย และอยากจะนำเสนอความอร่อยของท้องทะเลที่มากกว่าสิ่งที่เรารู้จักโดยเฉพาะ นั่นคือร้าน "Kensaku" ร้านอาหารญี่ปุ่นที่นำเสนอความอร่อยของท้องทะเลที่ไม่ได้มีแค่เมนูที่เรารู้จักกันทั่วไป ทั้งจากปลาน้ำตื้นและน้ำลึก หากสามารถนำมาทำเป็นอาหารได้ก็จะนำมาจำหน่าย และต้องไม่เป็นสัตว์ที่เข้าข่ายใกล้สูญพันธุ์ ตำแหน่งร้านอยู่ในซอยพหลโยธิน 4 หรืออารีย์ที่เรารู้จักกันดี ซึ่งทางเข้าซอยจะเป็นแบบเลนเดียวสวนกันยากสักหน่อย หากขับรถยนต์ส่วนตัวมา สามารถจอดได้ภายในร้าน หรือจะนั่ง BTS มาลงที่สถานีอารีย์ แล้วเดินต่ออีกสักหน่อยก็ได้เหมือนกัน หากจะมาทานร้านนี้สามารถ Walk in เข้ามาได้ แต่ว่า ถ้าหากอยากจะได้ทานวัตถุดิบแปลกๆ หรือเมนูพิเศษที่มีอย่างจำกัดด้วย ควรจะเข้าไปดูใน Facebook ของทางร้านก่อน ซึ่งในแต่ละวันก็จะมีโพสเมนูพิเศษมานำเสนอ หรือสามารถสอบถามผ่านแชท นอกจากนี้ หากสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการทำอาหารแบบครัวเย็น ก็มี Group ให้เข้าร่วมด้วยเช่นกัน ที่มาของวัตถุดิบต่างๆของร้าน มีที่มาจากทะเลของทุกมุมโลก แล้วแต่ว่า Supplier จะเจออะไรในแต่ละวัน อาจจะมีอวัยวะของเนื้อปลาที่ปกติเราไม่รู้ว่ามันทานได้ ก็มีให้สั่ง ตัวอย่างเช่น ส่วนไขกระดูกของทูน่า อันนี้หมดเร็วต้องจองล่วงหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้หายากเท่ากับเมนูอื่นๆ เช่นงูทะเล ซึ่งเป็น Rare item จริงๆ นอกจากวัตถุดิบปริศนาแล้ว ที่ร้านก็ยังมีเมนูซิกเนเจอร์อย่างปลาไหลย่างที่ไม่เหมือนร้านใดๆ ในไทยที่อยากให้ลองสั่ง สำหรับเมนูอาหารที่ทานวันนี้ก็จะมีTennen Unagi ข้าวหน้าปลาไหลธรรมชาติTennen Unagi ราคา 1400 บาท หรือในชื่อไทยคือข้าวหน้าปลาไหลธรรมชาติกับขนาดครึ่งตัว เสิร์ฟมาบนข้าวสวยญี่ปุ่นที่ราดซอสเดียวกับที่ย่างปลาโดยเฉพาะ มีเครื่องเคียงด้วยกันถึง 5 อย่าง ได้แก่ เต้าหู้เย็น ผักดอง ต้นหอมย่าง มะเขือม่วงต้มซอส และซุปใส ตัวปลาจะย่างไม่ได้ชุ่มซอสเหมือนร้านอื่นๆ เนื้อปลายังมีความขาวชัดเจน เนื้อไม่แห้งเลย จัดการก้างปลาได้ดีถึงแม้จะมีติดมาอยู่อีกนิดหน่อย ส่วนหนังปลาคือกรอบมาก รสชาติโดยรวมคือเข้ากันมากๆ ทั้งตัวปลาและเครื่องเคียงที่มาบาลานซ์รสชาติปลาไหลธรรมชาติหนังกรอบๆหอยท้ายเภาซูชิหอยท้ายเภาซูชิ ราคา 150 บาท ต่อ 1 คำ เป็นหอยพื้นเมืองของจังหวัดสตูลที่เปรียบได้กับเป๋าฮื้อของจังหวัดนี้เลยก็ว่าได้ หาทานได้ยากและจะมีแค่ในช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นหน้าร้อนนี้เท่านั้น และหลังๆ มานี้เริ่มมีการอนุรักษ์จับเฉพาะไซส์ใหญ่เท่านั้น ส่วนไซส์เล็กจะปล่อยลงทะเลตามเดิม ทำให้ราคาที่รับซื้อสูงเฉลี่ยกิโลกรัมละ 500-600 บาท ทางร้านนำมาทำให้สุก เสิร์ฟมาเป็นแบบซูชิที่พันด้วยสาหร่ายและทาซอส รสชาติมีความหวานละมุนเหมือนทานปลาหมึกสดๆเลย เคี้ยวได้เพลินไม่มีความเหนียวแต่อย่างใด อันนี้อยากให้ลองเช่นกันอร่อยจนต้องสั่งอีกคำKihada Maguro ZukedonKihada Maguro Zekedon ราคา 450 บาท ข้าวหน้าปลาทูน่าหางเหลืองพร้อมกับไข่แดงออแกนิก เวลาทานให้เจาะไข่แดงและทานพร้อมกับข้าวและทูน่า ส่วนของทูน่าที่ใช้เป็นอากามิที่ไม่รู้สึกแข็งกระด้าง ออกจะนุ่มละมุนด้วยซ้ำ ตัวไข่แดงเป็นเหมือนตัวประสานข้าวกับปลาให้รสชาติเข้มข้นหวานมันมากขึ้น โรยด้วยต้นหอมขูดและงาขาวเพิ่มความหอมมากขึ้น เป็นจานที่รู้สึกว่าคุ้มค่ามากๆ เช่นเดียวกับ 2 จานก่อนหน้าOre Saba ปลาซาบะคอหักOre Saba ราคา 1800 บาท หรือในชื่อไทยคือปลาซาบะคอหัก ปกติแล้วปลาซาบะเราจะนำมาย่างให้สุกมากกว่า แต่ถ้าหากรู้จักวัตถุดิบนี้จริงๆ จะรู้ว่าหากเสิร์ฟเป็นซาซิมิได้รสชาติจะอร่อยไม่แพ้ปลาทูน่าแต่อย่างใด สามารถเลือกได้ว่าจะเสิร์ฟ 2 แบบจาก 3 แบบ (ซูชิ มากิ หรือซาชิมิ) เลยเลือกแบบมากิและซาซิมิ ทางร้านใช้ปลาซาบะทั้งตัวแล่ส่วนเนื้อออกมาโดยเฉพาะ แบ่งเป็นส่วนๆ ตามลำตัว ซึ่งถ้าทานแบบซาชิมิ จะได้ทานทั้งส่วนต้น กลาง ปลาย ที่จะให้รสชาติและความเข้มข้นที่ต่างกัน ช่วงต้นๆ ไขมันจะเยอะ มีความนุ่มละมุน และไม่รู้สึกคาวเหมือนเวลาทานซาบะย่าง ส่วนกลางและปลายจะมีความลีนมากกว่า และเป็นการแล่แบบยังมีหนังติดอยู่ มีความเข้มข้นแบบเฉพาะตัวของซาบะ ลองทานแบบมากิก็อร่อยไปอีกแบบ แถมตัวข้าวยังชูรสชาติปลาให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สิ่งที่ต้องยกนิ้วให้เลยคือการแล่ ปกติซาบะเป็นปลาที่ก้างเยอะมาก แต่อันนี้คือไม่มีเลย ทำออกมาได้ดีมากๆ แนะนำว่าให้แต้มวาซาบินิดหน่อยก่อนทาน และปิดท้ายแต่ละคำด้วยขิงดอง จะช่วยเคลียลิ้นได้ดีและไม่รู้สึกเลี่ยนเลยOre Saba MakiOre Saba Sashimiจบเมนูของคาวไปแล้ว ก็มาต่อกันด้วยของหวานไดฟุกุไดฟูกุ ราคา 120 บาท ต่อชิ้น ทางร้านจะผ่าเป็น 4 ส่วนแบบยังไม่ขาดจากกัน ตัวสตรอเบอร์รี่หวานเจี๊ยบและฉ่ำน้ำมาก ส่วนแป้งจะบาง มีความหนึบ เคี้ยวได้เพลินๆ และรู้สึกหอมมากเจลลี่ซาบายองเจลลี่ซาบายอง ราคา 85 บาท เป็นฟรุตสลัดที่เสิร์ฟมาในหน้าตาของพุดดิ้ง มีความแข็งกระด้างหน่อยๆ ทานคู่กับซอสครีมสูตรเฉพาะของร้าน เป็นรสชาติที่คุ้นเคยแต่บอกไม่ถูกว่าคืออะไร อันนี้ก็ดีเช่นกันชาเขียวร้อนรีฟิวส่วนของเครื่องดื่ม สั่งเป็นชาร้อนแบบรีฟิว ราคา 40 บาท มีความขมๆ รู้สึกได้ถึงความเข้มข้นกำลังดีเลยทีเดียว ตัดเลี่ยนได้ดี รสชาติอาหารโดยรวมแล้ว ถ้าตัดเรื่องความแปลกของวัตถุดิบออกไปและให้คะแนนเฉพาะเรื่องรสชาติ ต้องถือได้ว่าทำออกมาได้ดีจริงๆ ทางเชฟเข้าใจรวมถึงยังสามารถดึงศักยภาพความอร่อยของวัตถุดิบนั้นๆ ออกมาได้เป็นอย่างดี ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นห้อง Lab ที่มีกลิ่นอายของร้านอาหารญี่ปุ่นจริงๆ ถ้าหากจะหาร้านเปรียบเทียบในไทยคงจะยาก การบริการตามมาตรฐานร้านอาหารญี่ปุ่น บริการรวดเร็วไม่ต้องรอนานแต่อย่างใด บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะกับมาสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานหลังเลิกงานเป็นอย่างยิ่ง ร้าน Kensakuที่อยู่: พหลโยธินซอย 4 เวลาเปิดปิด: 11:00 - 14:00 , 16:00 - 21:00 น. ไม่มีวันหยุด #ภาพถ่ายทั้งหมดโดยผู้เขียน#บทความดังกล่าวถูกเรียบเรียงและแต่งขึ้นโดยนักเขียนเองทั้งหมด#อาหารญี่ปุ่น #วัตถุดิบจากทะเล #Sushi หิวใช่ไหม อยากหาของกินอร่อย ๆ ใช่หรือเปล่า ส่องร้านเด็ดร้านดังได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !