“ขนมครก” ของกินเล่นหากินง่ายเหมาะกับตอนเช้า ๆ อากาศหนาว ได้ขนมครกสักกระทงคงช่วยให้อุ่นขึ้น และหากใครผ่านมาทางจังหวัดกาญจนบุรี หรือมาเที่ยว เพื่อหวังจะไปสักการะ "พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถ คันธารราฐอนุสรณ์" พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ณ "วัดทิพย์สุคนธาราม" อำเภอห้วยกระเจา หรือมาเที่ยวอำเภอบ่อพลอย เส้นถนนตำบลหนองโรงเชื่อมอำเภอบ่อพลอย บริเวณบ้านหลุมหิน อันมีศาลเจ้าพ่อหัวหินอันศักดิ์สิทธิ์ (จะแวะขอพรหรือบนบานก็มีหลายคนที่ได้สมใจหวัง จนต้องมาแก้บนอยู่เนือง ๆ ) ในที่เดียวกันยังมีร้านขนมครกโบราณเล็ก ๆ ที่ต้อนรับด้วยความเป็นกันเอง “มา ๆ ไอ้น้องชิมให้อิ่มก่อนแล้วค่อยซื้อ” นั่นคือคำทักทายทุกครั้งที่เจอ กับเสียงเรียกลูกค้าที่ทำลายทุกตำราค้าขาย อ้าวพี่กินอิ่มแล้วเขาจะซื้อเหรอ? ผู้เขียนเคยถาม “ไม่เป็นไร ๆ กินให้อิ่ม” คือคำตอบเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน หากมองผ่าน ๆ ร้านนี้ก็คงไม่ต่างจากร้านขนมครกที่มีอยู่มากมายในประเทศไทย แต่ถ้าสังเกตดี ๆ แล้วจะเห็นความแตกต่าง เพราะเขาใช้โอ่งมาครอบเตาแก๊สไว้อีกทีหนึ่ง เมื่อสอบถามก็ได้ความว่ามันช่วยประหยัดแก๊สได้มากทีเดียว เพราะความร้อน ยังคงถูกกักเก็บไว้ ผลที่ได้คือขนมครกที่หอมข้ามฝั่งถนน จนผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะต้องแวะยามที่ต้องไปไร่ ถือเป็นมื้อเช้าฟาสต์ฟู้ดแบบไทยที่ช่วยให้อิ่มท้องง่าย ๆ นอกจากความหอมแล้วที่ติดใจคือหวานมันกำลังดี กลิ่นต้นหอมซอยปะทะจมูกตอนกินร้อน ๆ ได้อารมณ์ของสูตรโบราณ ด้วยยิ่งนับวันจะหากินยากเพราะแม่ค้าหลายเจ้าก็ต้องพลิกแพลงสูตรเอาใจนักกินรุ่นใหม่ บางเจ้าใส่ข้าวโพด ช็อกโกแลตก็มี แม่ค้าบางคนใช้กะทิกล่องกินแล้วก็รู้สึกหวานเกินไป แต่ร้านนี้ยังคงคั้นกะทิเอง (ที่รู้เพราะคุยกับพี่เจ้าของร้านจนสนิท) สำหรับผู้เขียนนั้นจะชอบขนมครกที่เกรียม ๆ กรอบ ๆ หน่อย เวลาเข้าปากจะเคี้ยวมันดีพิลึก แต่ระวังลวกปากเพราะเห็นข้างนอกอุ่นกำลังดี เอาเข้าปากเท่านั้นแหละลิ้นแทบพอง (ถึงกับน้ำตาเล็ด เพราะร้อนจัด) นอกจากความอร่อยแล้วสิ่งที่ผู้เขียนสังเกตอีกอย่างก็คือ พี่คนขายยังใช้กระทงใบตอง ทั้ง ๆ ที่แม่ค้าปัจจุบันหันมาใช้กระทงโฟมเพราะความสะดวก โดยไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพคนกิน (ถึงช่วงนี้กระแสรักสิ่งแวดล้อมกำลังนิยมด้วย แต่แม่ค้าบางคนกลับไม่ใส่ใจ) บางร้านวางบนถุงแกงพลาสติกอีกที เพราะคิดว่าจะกันความร้อนจากโฟม อันนั้นอันตรายหนักเป็นสองเท่า แม่ค้าคนไหนใส่ใจลูกค้า รักโลก ขึ้นอีกหน่อยก็เอาเศษใบตองรองให้นิดหนึ่งซึ่งก็ไม่ได้ช่วยเท่าไรนัก พอเห็นแบบนี้แล้วผู้เขียนก็อดที่จะถามไม่ได้ว่าใครเป็นคนทำกระทง พี่เขาก็ให้คำตอบว่า แม่ของเขาช่วยทำกระทงเพราะเห็นว่าอยู่ว่าง ๆ จะได้มีอะไรทำ คนแก่จะได้ไม่เหงา ไม่รู้สึกไร้ค่า ช่วยกันสองคนแม่ลูก แล้วพอผู้เขียนถือกระทงในมือก็สังเกตเห็นอีกอย่างหนึ่งคือ กระทงเย็บด้วยไม้กลัดทางมะพร้าว ที่กว่าจะหาก้านมะพร้าวมาเหลา ทำเป็นก้านเล็ก ๆ นั้นต้องเสียเวลานาน ไหนจะต้องมานั่งกลัดกระทงทีละมุมอีก ส่วนใหญ่เห็นแม่ค้าบางคนถึงแม้ว่าใช้กระทงใบตองแต่ก็ใช้ลวดเย็บกระดาษเพื่อความรวดเร็ว ซึ่งเจ้าลวดนี่ถ้าเด็กเล็กเผลอกินเข้าไปอันตรายแน่ ๆ “ช่วยกัน ๆ อะไรที่ดีกับคนกินเหนื่อยหน่อยก็ไม่เป็นไร” นั่นคือคำพูดที่ดังฟังชัด ออกจากปากพี่คนขายตอนเราถามว่า “มันจะคุ้มเหรอพี่?” พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ๆ จนเราเองก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ อย่าเลิกใช้กระทงนะพี่ จะได้ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย เป็นสิ่งเราพูดกับพี่เขาในตอนนั้นเพื่อเป็นพันธสัญญาว่า อย่างน้อยก็มีสองคนนี่แหละที่อยากช่วยโลกนี้ให้น่าอยู่ขึ้น เวลาเปิดประมาณ 6โมงเช้า-9โมงครึ่ง ราคา กระทงละ 10 บาท (กินอิ่มค่อยซื้อ) พิกัด เส้นทาง 4JW9+P3 ตำบล หนองโรง อำเภอ พนมทวน กาญจนบุรี ปล.โปรดงดเรียกรับถุงพลาสติกจากแม่ค้า ภาพทั้งหมดโดย ชาตรี แก้วบุญเพิ่ม ผู้เขียน