ยังคงวนเวียนกันอยู่แถวเขตพระนคร นอกจากจะได้ชื่นชมสถาปัตยกรรมจากบ้านเรือนเก่าๆ ในย่านนี้ที่ยังคงมีให้เห็นอยู่บ้าง เราก็ยังเดินหาร้านน่านั่งและของกินแสนอร่อยตามคาเฟ่ต่างๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บ้างก็เป็นร้านที่ถูกรีโนเวทจากบ้านเก่าแก่เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ดัดแปลงทำเป็นคาเฟ่ที่เสิร์ฟทั้งขนมไทยโบราณและนำเสนอบรรยากาศของร้านที่ยังคงความดั้งเดิมเอาไว้เกือบทุกอย่าง หรือจะเป็นแนวสตรีทฟู้ดที่เรียบง่ายตามข้างทางแต่รสชาติไม่ธรรมดาด้วยจุดขายที่น่าสนใจ เหล่านี้คือเสน่ห์ที่มีไม่จำกัดในเรื่องของการตกแต่งร้าน ความคิดสร้างสรรค์ที่ใส่ไว้ในเมนูอาหาร ถ้าอยากจะเห็นภาพชัดๆ เรามาเริ่มสำรวจวัฒนธรรมการกินในย่านนี้กับบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ในซอยหลังโบสถ์พราหมณ์ ใกล้ๆ กับเสาชิงช้า ที่นั่นคุณจะพบกับ "บ้านขนมปังขิง" ต้นตระกูลพราหมณ์แห่งเสาชิงช้า บ้านขนมปังขิงหลังนี้เดิมทีเป็นบ้านของขุนประเสริฐทะเบียน บ้านมีอายุประมาณ 107 ปี สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2456 บ้านถูกบูรณะให้เป็นคาเฟ่แต่ยังอยู่ในสภาพเดิม โดยเนื้อไม้ บานประตูหน้าต่าง บานพับ บานกระทุ้ง ผนัง ช่องลม ลายฉลุ ยังคงเป็นของเดิมทั้งหมดตั้งแต่อดีต ไม่มีการเคลือบหรือขัดสีแต่ประการใด ในส่วนของอาหาร ร้านนำเสนอขนมโบราณที่ตกแต่งมาในรูปแบบไทยเดิม สีสันสวยงาม ควรถ่ายรูปก่อนรับประทานเป็นอย่างยิ่ง เมนูแนะนำได้แก่ ไอศกรีมชาไทย เฉาก๊วย 120 บาท ตัวไอศกรีมได้รสชาติของชาไทยเข้มข้น เข้ากันได้ดีกับเฉาก๊วยและฝอยทอง แม้ราคาค่อนข้างแรงแต่ปริมาณที่ได้ก็เยอะพอที่จะทำให้คุณอิ่มได้ในถ้วยเดียว ไอศกรีมกะทิ บัวลอย 120 บาท มากับกระทิเข้มข้น เม็ดบัวลอยมาพร้อมกันหลายสีพาสเทล อัดแน่นด้วยไอศกรีมและฝอยทองที่เสริมให้ขนมถ้วยนี้ดูมีอะไรที่มากกว่าความเป็นบัวลอยทั่วไป คุณสามารถสนุกกับการหยอดกระทิลงในขนมตามความพอใจ รสชาติโดยรวมถือว่าใช้ได้ไม่หวานมาก กาแฟเย็น 90 บาท แก้วนี้ รสชาติอร่อยทั่วไป เทียบกับราคาอาจจะแลดูสูงไปสักหน่อย แต่ถ้ามาร้านนี้ในสภาพร้อนแดด การได้นั่งจิบกาแฟเย็นสดชื่นสักแก้ว ท่ามกลางบรรยากาศบ้านทรงไทยติดแอร์เย็นฉ่ำ ก็ถือว่าดีงาม ลืมเรื่องราคาไปได้เลย บ้านขนมปังขิง เปิดทุกวันค่ะ จันทร์ถึงศุกร์เปิด 11.00 - 20.00 น. แต่เสาร์อาทิตย์เปิดเร็วหน่อยคือ 9.00 - 20.00 น. มาร้านนี้แนะนำให้มารถสาธารณะเพราะหน้าร้านไม่มีที่จอดรถ แต่ถ้าจำเป็นต้องเอารถมาแนะนำให้จอดได้ที่ศาลเจ้าพ่อเสือ / ข้างครัวอัปษร / โรงแรมศรีกรุงเทพ (ข้างศาลาว่าการ กทม.) / ร้านรุ่งเรืองพาณิชย์ และลานจอดรถวัดเทพธิดาราม สำหรับผู้ที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว สามารถนั่ง MRT มาลงสถานีสามยอดได้ค่ะ ทางออก 3 แล้วเดินมาทางถนนอุณากรรณ ไปทางเสาชิงช้าประมาณ 700 เมตร หากตื่นเช้าหน่อย หาอะไรกินง่ายๆ ตามข้างทาง แนะนำให้เดินมาที่ศาลเจ้าพ่อเสือ ตรงถนนตะนาว สามารถเดินมาจากถนนดินสอได้ เข้ามาทางถนนมหรรณพ เดินมาจนสุดทางสามแพร่งบริเวณหน้าศาลเจ้าพ่อเสือ คุณจะแลเห็นคุณยายผมสีดอกเลา กำลังวุ่นกับการปิ้งข้าวเหนียวที่แสนจะธรรมดา แต่ทว่ามีลูกค้ามามุงซื้อกันเรื่อยมิได้ขาด ที่สะดุดตาชวนขนลุกเห็นทีจะเป็นสีสันของข้าวเหนียวที่มาในรูปแบบหลากสี ทำให้รู้สึกว่าอยากซื้อให้ครบทุกสีแล้วไปแบ่งกันกินในกลุ่มเพื่อนเรียนหรือเพื่อนทำงาน แต่ปัญหาที่ตามมาคือถ้ามาสายก็จะมีสีให้เลือกน้อยลง จะเหลือแต่เพียงสีขาวซึ่งเป็นสีทั่วไปของข้าวเหนียวปิ้ง ส่วนความอร่อยไม่ต้องพูดถึง เต็มปากเต็มคำ ไส้อัดมาแน่นกับราคาเพียงอันละสิบบาท ยายบอกว่าขายทุกวันนะ ตั้งแต่ช่วงเช้าจนกว่าของจะหมด ปักหมุดแรกที่หน้าธนาคารกรุงเทพที่อยู่ตรงข้ามแพร่งนรา ก่อนจะย้ายมาขายตรงหน้าศาลเจ้าพ่อเสือ จากถนนตะนาว ข้ามถนนมาทางสี่แยกคอกวัว เยื้องกับตรอกข้าวสาร ร้านต่อไปยังคงเป็นขนมแบบไทยที่หากินได้บ้าง ไม่ได้บ้าง มากันที่ "เสน่ห์คาเฟ่" ร้านที่นำเสนอขนมไทยโฮมเมดแบบสร้างสรรค์ และยังเป็นสถานที่ทำเวิร์คช็อปเกี่ยวกับการทำขนมไทยอีกด้วย ภายในร้านมีลักษณะคับแคบ ที่นั่งน้อย เรียกได้ว่าต้องนั่งกันตัวลีบนิดนึง แต่หากไปตอนร้านเปิดก็น่าจะไม่ต้องแออัดมากเกินไป คือเวลา 11.00 น. ส่วนในเวลาเที่ยงและหลังจากนั้นไม่ต้องพูดถึง มีความวุ่นวายเล็กน้อย แต่พนักงานที่ร้านน่ารักมากนะ ขอบอก แม้ทุกคนจะดูยุ่งๆ แต่เราในฐานะลูกค้าที่ตั้งใจมาทานขนมไทยหน้าตาสวยที่ร้านแห่งนี้ กลับได้รับการดูแลอย่างอบอุ่น ด้วยรอยยิ้มที่แจ่มใสและเป็นมิตรมาก มาดูโฉมหน้าของขนมร้านนี้กันดีกว่า หากต้องการทานหลายๆ อย่าง แนะนำ "Signature Set" ที่ประกอบด้วยขนมไทย 9 ชนิด อันได้แก่ ขนมเหนียวดังโงะ มีความหนุบและมีความหวานจากซอสที่ราดมาด้วย / สัมปันนีที่มาในรูปดอกไม้สีชมพู / กลีบลำดวนรสช็อคโกแลต กรอบหวานมัน / ขนมต้มโรยมะพร้าว ไส้หวานหอม / เปียกปูนเผือกกะทิสด / ขนมถ้วย ฉ่ำด้วยกะทิสุดๆ / ทองเอก สีเหลืองนวล แป้งบางไส้ถั่วบด / บุหลันดันเมฆ ด้านบนเป็นสังขยาหอมๆ กับแป้งสีน้ำเงินคราม และสุดท้ายคือ โสมนัส ทรงกลม เป็นมะพร้าวกรอบ รสหวาน ไงล่ะ มาทั้งชุด ได้กินหลากหลายขนมหน้าตาสวยๆ ทั้งนั้น มาพร้อมกับภาชนะพื้นบ้าน เชิญชวนให้ต้องถ่ายรูปก่อนรับประทาน และแน่นอนความสวยภายนอกก็ยังมาพร้อมกับความอร่อยที่คับแน่นด้วยคุณภาพจากวัตถุดิบที่ใหม่ ทำวันต่อวันในปริมาณไม่มากนัก หมดแล้วหมดเลย ชุดนี้ราคาไม่แพงนะ แค่ 129 บาทเท่านั้น เหมาะกับการมากินเป็นหมู่เพื่อนฝูง ร้านเปิดทุกวันเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 11.00 - 17.00 น. ร้านมีสอนทำขนมด้วยโดยจัดเป็นเวิร์คช็อป สามารถติดตามได้ที่เพจของร้านค่ะ Sane.workshop ทริปนี้คงจบแค่สามหมุดแค่นี้ก่อน ยังมีที่อยากนำเสนออีกหลายแห่ง คงต้องเก็บไว้ทริปหน้า เพราะความอร่อยคือสิ่งที่เราต้องตามหา โดยเฉพาะในย่านพระนครแห่งนี้ ปล.ทุกภาพในรีวิวนี้ถ่ายโดย เอ๋จัง ลากแตะ (ผู้เขียน)